ชาวอุดรฯตื่น "ไฟปริศนา" พุ่งจากพื้นดิน นำไข่ไปวาง 10 นาทีสุก นักวิชาการมาดูพบความจริง
11 ก.ค. 2562, 20:29
วันนี้ (11 ก.ค.62) ผู้สื่อข่าว ONBNews รายงานว่า ได้เดินทางเข้าไปตรวจสอบไฟปริศนาบริเวณทุ่งนา ริมหนองน้ำหนองหมัด หมู่ 9 บ้านเชียงพิณ ต.เชียงพิณ อ.เมือง หลังจากรับแจ้งว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าว เกิดไฟลุกไหม้อยู่ใต้ดิน เป็นเวลานานกว่า 5 เดือน ทั้งที่ทางฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.เชียงพิณ ได้เปิดหน้าดิน นำรถน้ำฉีดดับไฟใต้ดินไปแล้ว แต่ว่าไฟก็ยังคงลุกไหม้อยู่ใต้พื้นดิน ที่มีควันสีขาวพุ่งขึ้นมา ยังไม่มีทีท่าว่าไฟที่ลุกไหม้อยู่ใต้ดิน บริเวณดังกล่าวจะดับแต่อย่างใด โดยวานนี้มีเจ้าหน้าที่จาก สนง.สิ่งแวดล้อมภาค 9 เข้าพิ้นที่มาดู เพื่อหาสาเหตุไปก่อนหน้าแล้ว
โดยที่ดินบริเวณดังกล่าว อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ติดหนองน้ำหนองหมัดทางทิศเหนือ เป็นนาปลูกหญ้าเนเปียร์สำหรับเลี้ยงวัว พบกับ นางปัทมา พิมพ์สาลี อายุ 62 ปี อยู่ที่ 812 หมู่ 9 บ้านเชียงพิณ เจ้าของที่นา และนายประเสริฐ จันนาวัน ผญบ.หมู่ 9 บ้านเชียงพิณ พาตรวจสอบ พบว่าที่ดินติดริมหนองน้ำที่เป็นดินสีดำ โดยมีกลุ่มควันสีขาวโชยขึ้นจากใต้ดิน เมื่อนำไม้เขี่ย ควันจะออกลอยขึ้นมาก และควันที่ออกมามีกลิ่นเหม็นฉุนเหมือนไฟไหม้สารเคมี เมื่อสูดดมนาน ๆ จะแสบจมูก และต้นไม้ใหญ่ริมหนองน้ำ แห้งตายเพราะถูกความร้อนจากไฟที่ไหม้ใต้ดิน
โดยที่ดินบริเวณดังกล่าว อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ติดหนองน้ำหนองหมัดทางทิศเหนือ เป็นนาปลูกหญ้าเนเปียร์สำหรับเลี้ยงวัว พบกับ นางปัทมา พิมพ์สาลี อายุ 62 ปี อยู่ที่ 812 หมู่ 9 บ้านเชียงพิณ เจ้าของที่นา และนายประเสริฐ จันนาวัน ผญบ.หมู่ 9 บ้านเชียงพิณ พาตรวจสอบ พบว่าที่ดินติดริมหนองน้ำที่เป็นดินสีดำ โดยมีกลุ่มควันสีขาวโชยขึ้นจากใต้ดิน เมื่อนำไม้เขี่ย ควันจะออกลอยขึ้นมาก และควันที่ออกมามีกลิ่นเหม็นฉุนเหมือนไฟไหม้สารเคมี เมื่อสูดดมนาน ๆ จะแสบจมูก และต้นไม้ใหญ่ริมหนองน้ำ แห้งตายเพราะถูกความร้อนจากไฟที่ไหม้ใต้ดิน
บริเวณที่เกิดไฟไหม้ใต้ดิน ในพื้นที่ประมาณ 50 ตารางวา มีร่องรอยการขุดเปิดชั้นใต้ดิน โดยดินที่ถูกไฟไหม้จะมีสีแดงอิฐเหมือนสีอิฐมอญที่เผาแล้ว และมีการขุดร่องกว้างประมาณ 1 เมตร ลึก 1 เมตร ล้อมรอบจุดที่เกิดไฟไหม้แใต้ผิวดิน ป้องกันไม่ให้ไฟใต้ดินไหม้ลุกลาม และกัเนวัว ไม่ให้เข้าไปบริเวณไฟไหม้ ขณะที่นายประเสริฐฯ ได้นำไข่ไก่ดิบ ใส่ลงไปในจุดที่มีควันออกมา ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ไข่ที่ใส่ลงไปก็สุกขนาดไข่ลวก
นางปัทมา พิมพ์สาลี อายุ 62 ปี เจ้าของที่นา เล่าว่า เห็นควันไฟไหม้ใต้ดินที่นี่มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ตอนแรกพวกที่มาหาจับหนู แล้วจุดไฟทิ้งไว้ไม่ยอมดับ แต่ผ่านมาได้สักพัก ก็เห็นว่าควันยังไม่ดับ คิดว่าเพราะพวกหาหนูไม่ดับไฟมันจึงไหม้ลามไป ก็เอาน้ำมาราดไฟก็ไม่ดับ และต่อมาวัวที่ตนเลี้ยงไว้ มีตัวหนึ่งมาหากินหญ้าที่นี่ ขาหลังขวาตกลงไปในโพรงที่มีไฟไหม้อยู่ใต้ดิน จนวัวบาดเจ็บ จึงมาดูพบว่าใต้ดินมีไฟไหม้ ลามเป็นดินสีแดง ควันที่เหม็นลอยออกมา ถ้ามีลมมันก็พัดเข้าหมู่บ้าน
ตอนนั้นได้ต่อไฟฟ้ามา นำเครื่องสูบน้ำ 2 ตัวสูบน้ำในหนองใส่ไฟมันก็ไม่ดับ แล้วก็ถูกไฟดูดด้วย จึงไม่กล้าทำต่อ จึงแจ้งให้ทาง อบต.เชียงพิณ ทราบ ก็เอารถน้ำมาฉีดใส่ใต้ดิน ซึ่งตนยอกว่าขอให้ดับให้หมด แต่ไฟก็ยังไม่ดับ ส่วนที่มีเจ้าหน้าที่จาก สนง.สิ่งเวดล้อมภาค 9 มา เราก็ไม่รู้ว่าเขาว่าอย่างไร ที่เขาคุยกัน เราก็ไม่ได้ยิน เพราะว่าตนหูตึง แต่ก็ดีใจที่มีคนมาดู เพราะต่อไปวัวเราจะได้ไม่ได้รับอันตราย
นายประเสริฐ จันนาวัน ผญบ.หมู่ 9 บ้านเชียงพิณ เปิดเผยว่า แค่เดิมที่ตรงนี้เคยมีไฟไหม้ใต้ดินมาก่อน ตั้งแต่ตนยังเด็ก สมัยนั้นจำได้ว่ามีเงินผันลงมาขุดลอกหนองหมัก สมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วไฟก็มาไหม้อีก ตอนได้เงิน 5 แสนบาทมาที่หมู่บ้านมาขุดลอกอีกผ่านมา 2 ปี แล้วไฟก็ไหม้อีก โดยมีชาวบ้านบอกร้องเรียนว่า ที่นี่มีไฟไหม้อีกแล้วควันที่ออกมามีกลิ่นเหม็นฉุน ก็โชยเข้าไปถึงหมู่บ้านที่ห่างไป 2 ก.ม. ทีแรกคิดว่ากลิ่นจากโรงยาง แต่มันก็อยู่ไกล จึงออกมาดูแล้วแจ้งไปทาง อบต.เชียงพิณ จึงนำรถแบคโฮมาขุดเป็นร่อง กันไม่ไห้ไฟใต้ดินลามไปที่อื่น แล้วนำรถน้ำมาฉีดอัดเข้าใต้ดิน ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร แต่ว่าดินแถวนี้จะเป็นสีดำเกือบทั้งหมด
นายสายันต์ หมีแก้ว นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการ สนง.สิ่งแวดล้อมภาค 9 เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว พบว่าการไหม้มีกลิ่นเหม็นของสารซัลเฟอร์ ที่เหมือนการเผาถ่านหินคุณภาพต่ำ และตรวจสอบน้ำในหนองจะเป็นกรดอ่อน ๆ เบื้องต้นแจ้งห้ามรดน้ำกับไฟ เพราะน้ำจะเร่งปฏิกิริยาให้ไฟไหม้เพิ่มขึ้น และให้ทาง อบต.เชียงพิณ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ สนง.อุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 2 อุดรธานี ให้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้กรณีไฟพุ่งจากใต้ดินเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 1 ครั้ง ในต.นาพู่ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี เมื่อ 6 ปีก่อนสาเหตุเกิดจากก๊าซที่หมักหมมมาจากเศษวัชพืชมานานจึงเกิดความร้อนและปะทุเป็นไฟขึ้นทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้คงต้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบอีกครั้งเพื่อความสบายใจของชาวบ้าน