เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



ผู้เสียหายโร่แจ้งความหลังถูกข้าราชการ สังกัด พม. หลอกเงินร่วมลงทุน สูญไปกว่าล้านบาท


29 ส.ค. 2563, 18:44



ผู้เสียหายโร่แจ้งความหลังถูกข้าราชการ สังกัด พม. หลอกเงินร่วมลงทุน สูญไปกว่าล้านบาท




เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 29 สิงหาคม 63 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า ที่ สภ.เมืองชุมพร น.ส.วรายุภัสร์ พัฒเสนี อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 80/2 หมู่ที่ 2 ตำบลพิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี พร้อมด้วย น.ส.จิตตมา มณีศรี อายุ 43 ปี และ น.ส.ลักษิกา มณีศรี อายุ 25 ปี สองแม่ลูก อยู่บ้านเลขที่ 81/26 หมู่ที่ 8 ตำบลนาทุ่ง อ.เมือง จ.ชุมพร นำเอกสารการกู้ยืมเงิน พร้อมเช็ค จำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินค้ำประกัน มามอบให้กับ ร.ต.ท.สิทธิพัฒน์ สุขประกอบ รอง สว.สอบสวน สภ.เมืองชุมพร เพื่อเป็นหลักฐานในการแจ้งความกล่าวโทษกับ นางสาวนิด นามสมมุติ ซึ่งเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่หลอกเงิน จำนวนกว่า 3 ล้านบาท จากทั้งสาม เพื่อนำไปลงทุนด้านธุรกรรมการเงินต่างๆโดยทำข้อตกลงจะแบ่งส่วนแบ่งให้กัน แต

 

 

โดย น.ส.วรายุภัสร์ พัฒเสนี เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ นางสาวนิด ได้เข้ามาทักตนในเฟซบุ๊ก โดยนางสาวนิด ได้พยายามกล่าวอ้างตนทำงานราชการสังกัดช่วยเหลือผู้ตกทุกข์เดือดร้อน ในสังกัดของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในจังหวัดชุมพร ซึ่งตนเองก็ได้เข้าดูในเฟซบุ๊คของนางสาวนิด ก็พบว่ามีการทำงานช่วยเหลือจริง และนอกจากนี้ทางนางสาวนิด ก็ยังได้อ้างว่า นอกจากจะทำงานหลวงแล้ว ยังทำธุรกิจลงทุนเกี่ยวกับเป็นนายหน้าปลดหนี้สิน รับย้ายไฟแนนซ์ให้แก่ลูกหนี้ทั่วไป

 

 

น.ส.วรายุภัสร์ พัฒเสนี กล่าวว่า หลังจากที่ได้รู้จักและพูดคุยกันได้ไม่นาน นางสาวนิด ก็ชวนตนเองร่วมลงทุน โดยอ้างว่าจะแบ่งผลกำไรให้ถึง 3 ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตอนแรก ตนเองก็ลองร่วมลงทุนด้วย โดยรายแรก จำนวนหลักหมื่น มีการส่งเงินต้นและผลกำไรมาให้ เป็นแบบนี้มาหลายครั้ง จนหลงเชื่อร่วมลงทุนไปกว่าสองล้านบาท หลังจากนั้น นางสาวนิด ก็เริ่มขาดการติดต่อ โทรไม่รับ ทักไม่ตอบ จนตนเองเห็นว่าไม่ดีแล้ว จึงให้คนรู้จักในจังหวัดชุมพร ช่วยต่อตามทวงหนี้ แบบชนิดไปถึงสำนักงาน โชคดีที่ได้ยังได้เงินคืนมา 7 แสนบาท ส่วนที่เหลืออีก 1 ล้านกว่าบาทนั้น ทางนางสาวนิด รับปาก จะคืนให้ แต่ขอเวลาโดยอ้างว่าพ่อไม่สบายบ้าง แม่ไม่สบายบ้าง จนเวลาล่วงเลยมากว่าสองเดือน จึงได้ตัดสินใจนำเอกสารต่างๆมามอบเพื่อแจ้งความเอาผิดกับนางสาวนิด



 

ด้าน น.ส.จิตติมา มณีศรี ซึ่งเป็นผู้เสียหายอีกราย กล่าวว่า นางสาวนิด จะเข้ามาทำความรู้จักทางเฟซบุ๊ค และก็ชวนลงทุนในลักษณะเช่นเดียวกับ น.ส.วรายุภัสร์ พัฒเสนี โดยจะแบ่งส่วนผลกำไรให้ 3 ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ เพราะเห็นแล้วเป็นคนที่น่าเชื่อถือมาก พูดดีพูดเก่ง อีกทั้งดูฐานะทางบ้านก็น่าเชื่อถือ อีกทั้งยังเป็นถึงข้าราชการด้านการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์เดือดร้อน ก็เลยตัดสินใจร่วมลงทุนด้วย ซึ่งเริ่มแรกลงทุนเพียงหลักหมื่น ใหม่ๆมีเงินกลับมาพร้อมผลกำไรที่ดี จนเชื่อใจและเห็นเงินที่งอกเงยเพียงไม่ถึงอาทิตย์ ก็ได้ผลกำไรแล้ว จากหลักหมื่นก็กลายเป็นหลักแสน

 

 

น.ส.จิตติมา กล่าวต่อว่า ที่ตนเองไว้ใจและเชื่อใจ นางสาวนิด จนร่วมลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆก็เพราะว่านางสาวนิด เอาเงินตนไปเพียงไม่อาทิตย์ ก็นำมาคืนพร้อมผลกำไร แต่ไม่ถึงสามวัน นางสาวนิด ก็มาเอาไปอีก บอกมีลูกค้าต้องการเงิน ตนก็ให้ไปอีกและก็คืนกลับมาพร้อมผลกำไร เป็นอย่างนี้เรื่อยมา และแต่ละครั้งจะขยายวงเงินขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นหลักแสน แต่พอร่วมลงทุนไปหลายๆแสนแล้ว ตอนนี้นางสาวนิด เริ่มออกอาการผิดสังเกต อ้างว่า ยังเก็บไม่ได้ ลูกค้าขอผันวัน พอรบเร้า นางสาวนิด ก็อ้างว่าไม่เชื่อใจหรือ หากไม่เชื่อใจ จะเขียนเช็คเงินสด จำนวน 1 ล้านบาท เพื่อเป็นการค้ำประกัน พร้อมอ้างว่าตนเป็นถึงข้าราชการไม่โกงใครเพราะไม่คุ้ม ทำให้ตนเองก็หลงเชื่อ และจนในที่สุดก็ถูก นางสาวนิด โกงไม่ยอมจ่ายคืนจนได้ ตนเองจึงได้เดินทางมาแจ้งความและก็ได้พบว่ายังมีผู้เสียหายอีกจำนวนหลายรายที่โดนในลักษณะเดียวกันกับตนและ น.ส.วรายุส

 

 

 

 

 


น.ส.จิตติมา ยังกล่าวต่ออีกว่า ในส่วนลึกของตนเองนั้น เงินที่สูญไปกับการลงทุนร่วมกับ นางสาวนิด นั้นประมาณกว่า 8 แสนบาท ยังพอรับได้ แต่ที่รับไม่ได้จริงก็คือนางสาวนิด ยังไม่พูดจนแฟนตนยอมเอาเงินเยียวยาและเงินช่วยเหลือเกษตรกรไปอีกเป็นหมื่นบาท และยังไม่พอยังไปพูดหว่านล้อมจนลูกสาวตนยอมถอดสร้อยคอทองคำ ให้ไปจำนำอีกแสนกว่าบาทอีกด้วย ซึ่งดูโหดร้ายมาก ซ้ำไปทวงถามเรื่องเงินที่บ้าน ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจในจังหวัดชุมพร ยศพันตำรวจโท ยังไล่ตนเหมือนหมูเหมือนหมา ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานระหว่างที่ผู้เสียหายทั้งสามคนกำลังแจ้งความ นางสาวนิด ได้เดินทางมาพร้อมขอเจรจาไกล่เกลี่ย โดย นางสาวนิด อ้างว่าตนเองมีปัญหาเรื่องการเงินจริง และจะขอเวลาสักระยะเพื่อหาเงินมาคืนให้ ซึ่งทาง น.ส.จิตติมา เห็นใจและให้โอกาส พร้อมยอมลดเงิน จาก 1 ล้านบาท เหลือ 5 แสนบาท และต้องจ่ายให้หมด 2 เดือน ในขณะของทาง น.ส.วรายุภัสร์ พัฒเสนี นั้น ได้เจรจาไกล่เกลี่ย จนได้ข้อสรุปอยู่ที่ทาง นางสาวนิด จะต้องจ่ายคืนเป็นรายเดือนๆละ 1.5 แสนบาท เป็นเวลา 1 ปี หากผิดข้อตกลง ก็จะให้ทางผู้เสียหายดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งเป็นที่พอใจทุกฝ่าย ทาง ตำรวจได้ลงบันทึกประจำไว้เป็นหลักฐาน ก่อนแยกย้ายเดินทางกลับ

 

 






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.