จับได้แล้ว "สามีจิตหลอน" ใช้ค้อนทุบศีรษะภรรยา - ลูกชาย ย่างสดคาบ้าน
6 พ.ย. 2563, 15:17
จากกรณีของนายพันธ์ โทปะ หรือนายสี อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 127 หมู่ 2 บ้านโพนสวรรค์ ต.คำเตย อ.เมือง จ.นครพนม ใช้ของแข็งทุบเมียคือนางอานนท์ สีดาวงศ์ อายุ 48 ปี และลูกชาย ด.ช.เอกราช โทปะ หรือน้องเปา อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนบ้านชะโนด ก่อนจะขนเสื้อผ้าในตู้มาทับร่าง แล้วราดด้วยน้ำมันจุดไฟเผาย่างสด โดยสภาพศพทั้งสองถูกไฟเผาไหม้ดำเป็นตอตะโกคาซากกองเพลิง จากนั้นก็คว้าจอบไล่ทุบตีนางละคร สีดาวงศ์ อายุ 59 ปี มีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ที่ปลูกบ้านอยู่ติดกันจนแขนขวาหัก กระทั่งเพื่อนบ้านรุมจับตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครพนม เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. วันที่ 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว
ล่าสุด วันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 เวลา 07.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.จำรัส ศรีหาตา รองสารวัตรสอบสวน เจ้าของคดี ได้นำตัวนายพันธ์หรือสีออกจากห้องควบคุม มาสอบปากคำเพิ่มเติม หลังจากคืนที่ผ่านมาสอบสวนเบื้องต้นไปแล้ว แต่ผู้ต้องหาในขณะนั้นยังมีอาการเหม่อลอย ให้การวกไปเวียนมา แทบจับใจความไม่ได้
ปรากฏว่านายพันธ์หรือสีได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา สามารถพูดคุยกับพนักงานสอบสวนรู้เรื่องกว่าคืนที่ผ่านมา โดยลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า นางอานนท์เป็นแม่ม่ายลูกติด 1 คน คือพระอดิเทพ ศรีลาวงศ์ อายุ 22 ปี ปัจจุบันบวชเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์นครพนม(มจร.ฯ) อ.ธาตุพนม จ.นครพนม คณะรัฐศาสตร์ และมีลูกกับตนเพิ่มอีกสองคน ได้แก่ นายเอกชัย โทปะ หรือจ๋อย อายุ 19 ปี และ ด.ช.เอกราช โทปะ หรือเปา อายุ 14 ปี โดยตนมีอาชีพเป็นช่างก่อสร้างทั่วไป ส่วนนางอานนท์รับจ้างคัดหินสวยงาม ตลอดเวลาที่อยู่กินกันไม่เคยขัดใจลูกเมีย อยากได้อะไรก็แสวงหามาให้ ดังนั้นในบ้านจึงมีอุปกรณ์ไฟฟ้าแทบครบทุกอย่าง
กระทั่งเมื่อประมาณ 10 ปีย้อนหลัง เริ่มมีอาการทางประสาท ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากดื่มเหล้าสะสมมานาน ลักษณะหูแว่วหวาดระแวง เกรงจะมีคนมาทำร้าย เป็นต้น จึงต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลจิตเวชฯนครพนม แต่รับประทานยาไม่ต่อเนื่อง จึงเกิดอาการกำเริบอาละวาดทุบทำลายข้าวของ จนต้องถูกจับไปรักษาที่ รพ.จิตเวชฯนานเกือบเดือน แพทย์เห็นอาการดีขึ้นจึงอนุญาตให้ญาติมารับตัวกลับบ้านได้ แต่กำชับว่าต้องทานยาต่อเนื่องห้ามขาด
นายพันธ์เล่าต่อว่าหลังมาอยู่บ้าน ก็ยังออกไปทำงานก่อสร้าง ทำนาทำสวน และรับจ้างทั่วไป แต่สิ่งที่ตนเองขาดไม่ได้คือการดื่มเหล้า หลังดื่มก็จะมีอาการประสาทหลอน ประกอบกับไม่ยอมทานยาตามแพทย์สั่ง ทำให้อาการกำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมีความหวาดระแวงว่าจะมีคนมาฆ่าล้างโคตรครอบครัวตน
ในวันเกิดเหตุเกิดหูแว่วว่า จะมีคนมาฆ่าลูกเมีย ขณะที่นางอานนท์นอนดูโทรทัศน์โดยมีน้องเปานอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ จึงไปคว้าค้อนมาฟาดที่ท้ายทอยของเมียไป 2-3 ครั้ง น้องเปาเห็นแม่ถูกทำร้ายจึงลุกขึ้นห้าม จึงถูกลูกหลงฟาดไปที่หัวจนศีรษะแตก แล้วลากไปมุมห้องกระหน่ำตีอีกหลายครั้งจนลูกชายแน่นิ่ง จากนั้นก็กอดร่างลูกชายพร้อมกับคำกล่าวว่า”พ่อขอโทษนะที่จำเป็นต้องฆ่าไม่งั้นคนอื่นก็จะมาฆ่า” และเกรงว่าบุคคลที่นายพันธ์อ้างว่าจะมาฆ่าล้างโคตรเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ จึงรื้อเสื้อผ้า ผ้าห่ม มาสุมร่างคนทั้งสอง แล้วไปเอาน้ำมันเบนซินที่เก็บไว้ใส่เครื่องตัดหญ้าและน้ำมันดีเซลที่ใส่รถไถนาเดินตามทาเทราด ก่อนจะจุดไฟเผาทั้งคนและบ้านจนวอดวาย
ต่อจากนั้นก็เดินออกจากบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คว้าจอบที่วางอยู่หน้าบ้านเดินมาที่บ้านของนางละครขณะกำลังนั่งคัดหินสวยงามอยู่ เงื้อจอบหมายตีที่หัวนางละคร แต่เหยื่อเห็นก่อนจึงลุกขึ้นวิ่งหนี ตนก็วิ่งไล่ตามไปทันที่ปากซอย ฟาดไปที่แขนนางละครจะหัก แล้วก็หันจะไปตีลูกสาวของนางละครที่วิ่งออกมาช่วยแม่ เดชะบุญชาวบ้านรุมเยื้อยุดฉุดกระชากจอบออกจากมือได้สำเร็จ จึงถูกควบคุมตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปสงบสติอารมณ์ดังกล่าว
ด้านพระอดิเทพกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า นายพันธ์พ่อเลี้ยงมีอาการทางประสาทมานาน ตั้งแต่ตนเองยังเป็นฆราวาส ชอบคิดว่าจะมีคนมาฆ่าลูกเมียมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่นึกว่าจะรุนแรงถึงขั้นนี้ แม้ตนจะบวชแล้วก็ยังไม่สามารถทำใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
ขณะที่ น.ส.ธิดารัตน์ เลี่ยวปรีชา พยาบาลจิตเวช สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม(สสจ.ฯ) กล่าวกับ พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผบก.ภ.จว.นครพนม ว่า ตามประวัติของนายพันธ์ผู้ต้องหา เคยรักษาและรับยาจาก รพ.จิตเวชฯนานหลายปี ด้วยอาการฤทธิ์สุราเรื้อรัง ทำให้มีอาการประสาทหลอน ประเภทหูแว่วหวาดระแวง ภายหลังอาการดีขึ้นแพทย์จึงให้มารับยาที่ รพ.นครพนม ตลอดเวลาผู้ป่วยไม่มีอาการก้าวร้าว สามารถถามตอบกับเจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ปัจจัยที่เกิดเหตุสลดนอกจากไม่ยอมทานยาตามแพทย์สั่งแล้ว เมื่อยาหมดก็ไม่ไปรับยามาทานต่อ ทำให้อาการกลับมากำเริบ และที่สำคัญญาติจะต้องมั่นใส่ใจดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากพบมีอาการหวาดระแวงหูแว่วตาขวาง ควรรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที อย่าชะล่าใจโดยเด็ดขาด
ด้านการเยียวยาครอบครัวของผู้เสียชีวิต นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.นครพนม หลังคืนวันเกิดเหตุได้มาดูที่เกิดเหตุด้วยตนเองแล้ว รุ่งเช้าก็เดินทางมาดูการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นรับนโยบายเบื้องต้น ด้วยการสมทบทุนช่วยเหลือนี้แล้ว โดย ผวจ.นครพนม กำชับอย่าทอดทิ้งหรือนิ่งดูดาย ช่วยกันคนละไม้ละมือ ให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่มีสุขภาพจิตที่ดี
โดยเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายพันธ์ผู้ต้องหา ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอะไร ตั้งแต่คว้าค้อนมาทุบหัวเมียและลูก จากนั้นไปหยิบน้ำมันมาราดจุดไฟเผาย่างสด และไปคว้าจอบมาไล่ตีนางละคร ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตั้งใจจะนำนางละครมาร่วมทำแผนขณะถูกทำร้าย แต่นางละครปล่อยโฮร่ำไห้สะอึกสะอื้น เพราะนายพันธ์ผู้ต้องหาเป็นน้องชายสามีของตนนั่นเอง เจ้าหน้าที่เห็นว่าคนเจ็บไม่พร้อมจึงนำตัวออกไป ก่อนจะตัวกลับไปควบคุมต่อที่ สภ.เมืองนครพนม ในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา และเผาทำลายทรัพย์สินเสียหาย
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้เข้าไปคุ้ยหาหลักฐานที่ใช้สังหารสองแม่ลูก ตามคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหา ว่าใช้ค้อนทุบหัวจนแน่นิ่ง ปรากฏว่าไม่พบค้อนที่เป็นอาวุธฆ่าลูกเมีย กลับพบมีดพร้าและท่อเหล็กตกอยู่ในกองเพลิง จึงเก็บไปพิสูจน์คราบเลือด โดยเบื้องต้นนายพันธ์อาจจะใช้สองสิ่งนี้ฆ่า แต่สับสนจึงอ้างว่าใช้ค้อนกระหน่ำตี นอกจากนี้ยังพบกระเป๋าเงินภายในมีธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทไหม้ไฟอยู่หลายฉบับ จึงมอบให้พนักงานสอบสวนเก็บไว้ประกอบคดี