เจ้าของเพจ "จอนนี่ แมวศุภลักษณ์" เล่านาทีตามหา "เจ้าเจิ้น" หายไป 50 ชั่วโมง !
7 พ.ย. 2563, 09:36
ล่าสุด (6พ.ย.63) เจ้าของเพจ "จอนนี่ แมวศุภลักษณ์" ได้เผยเรื่องราวได้เล่าประสบการณ์ตามหา เจ้าเจิ้น ซึ่งได้ฉายาว่าเป็นแฝดของจอนนี่ หรือ อาตแมวที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งได้เดินทางไปเที่ยวน้ำตกแต่จู่ๆ เจ้าเจิ้น ได้หายไปในป่า ทำเอาเจ้าของได้ออกตามหาอย่างลุ้นระทึก ใช้เวลาตามหาถึง 50 ชั่วโมงด้วยกัน
โดยได้เล่าระบุว่า "เช้าวันที่ 4 เวลาประมาณ 10 โมงเช้าผมขับมอเตอร์ไซค์นำเจิ้นไปถ่ายภาพที่น้ำตกในหมู่บ้านซึ่งเป็นโลเคชั่นที่ผมชอบพาแมวที่บ้านไปถ่ายภาพและพาออกมาเดินเล่นเป็นประจำโดยเฉพาะตอนที่จอนนี่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะน้ำตกแห่งนี้ไม่ค่อยมีใครเข้ามาท่องเที่ยวและไม่มีหมาอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นจึงทำให้ผมรู้สึกว่าสถานที่ปลอดภัยสำหรับบรรดาแมวๆที่บ้าน ซึ่งน้ำตกแห่งนี้มีเทือกเขาที่สลับซับซ้อนและเต็มไปด้วยป่าดงดิบตามธรรมชาติที่เป็นแหล่งน้ำของหมู่บ้าน
วันนี้ผมถ่ายภาพเจิ้นตามปกติและดูเหมือนว่าเจิ้นจะชอบเดินเล่นแถวนี้มากเพราะดูเจิ้นตื่นเต้นกับแมลงที่บินอยู่บริเวณนั้นเจิ้นจึงวิ่งเล่นกระโดนตบแมลงอย่างสนุกสนาน ผมจึงละสายตาหันมาปรับค่าสปีชชัตเตอร์กล้องตาก็มองสเกลวัดแสง เมื่อปรับค่าแสงในกล้องถ่ายภาพแล้วจึงหันไปมองเจิ้นเพื่อที่จะถ่ายภาพ แต่ไม่มีเจิ้นอยู่ตรงนั้นแล้ว ผมรีบวางกล้องถ่ายภาพวิ่งมาหาเจิ้นซึ่งห่างกันไม่เกินสามเมตรแต่ตอนนี้ผมไม่เห็นตัวเจิ้นแล้ว ด้วยความตกใจผมจึงรีบปีนตีนเขาซึ่งเต็มไปด้วยหนามแต่ตอนนั้นผมลืมคิดถึงเรื่องนั้นไปเลย
เมื่อผมปีนขึ้นไปบนเขาก็รีบเดินหาเจิ้นบริเวณกอไผ่แต่หลังจากเรียกเจิ้นไปสักพักก็ไม่มีเสียงตอบรับหรือเห็นว่าเจิ้นอยู่ตรงไหน ผมจึงรีบขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมาบอกผู้ใหญ่บ้านและโทรบอกกุ้งซึ่งทำงานอยู่ต่างอำเภอว่าผมทำเจิ้นหายไป สักพักผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านคนอื่นๆอีกเกือบยี่สิบคนพร้อมสุนัขดมกลิ่นก็เข้ามาที่น้ำตกเพื่อช่วยกันตามหาเจิ้น
โดยผู้ใหญ่บ้านกำชับว่าใช้เจ้าของสุนัขผูกเชือกล่ามไว้กับเจ้าของเพื่อป้องกันสุนัขทำร้ายเจิ้น
จากนั้นชาวบ้านทั้งหมดจะแบ่งกันเป็นสองทีมขึ้นภูเขาทั้งสองฝั่งเป็นแนวครึ่งวงกลมเพื่อบีบไล่ให้เจิ้นลงมาจากบริเวณภูเขาให้ออกมาตรงถนนด้านล่างเวลาผ่านไปเหลายชั่วโมงพวกเราไม่พบตัวของเจิ้นเลยแม้แต่สุนัขดมกลิ่นทั้งสองตัวก็ไม่ได้กลิ่นของเจิ้น ตอนนั้นผมเริ่มเครียดมาก จนถึงเวลาเกือบมืดผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านก็เดินทางกลับโดยบอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะช่วยกันมาตามหาเจิ้นให้ใหม่ ขณะเดียวกันกุ้งก็ขับรถยนต์จากหน้าไซต์งานมาถึงผมพอดี เมื่อกุ้งมาถึงก็ได้ตะโกนเรียกเจิ้นแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา
คืนนั้นช่วงค่ำผมนำอาหารเม็ดและอาหารเปียกใส่ถ้วยวางไว้ตามแนวถนนที่ตัดผ่านภูเขาลูกนั้นในน้ำตกเพราะหวังว่าเจิ้นคงจะลงมากินอาหารและทำให้ผมได้พบตัวของเจิ้น ผมเดินส่องไฟฉายเดินหาเจิ้นจากถนนไปมาหลายรอบเพราะในน้ำตกแห่งนี้ไม่มีไฟฟ้าหรือสัญญาโทรศัพท์พร้อมทั้งเคาะถ้วยอาหารเรียกเจิ้นตลอดเวลา ขณะนั้นกุ้งซึ่งออกมาเตรียมผ้าห่มที่นอนขับรถผ่านผมไปและกำลังจะไปจอดที่บริเวณที่ผมทำเจิ้นหายตอนกลางวัน แสงไฟหน้ารถยนต์ทำให้เห็นว่าเจิ้นเดินมากินอาหารด้วยความดีใจมากกุ้งจึงตะโกนบอกผมว่าเจอเจิ้นแล้วทำให้เจิ้นตกใจวิ่งหนีหายเข้าป่าไปอีกแม้ว่าผมพยายามจะตามหาเจิ้นเท่าไหร่ก็ไม่พบคืนนั้นผมจึงเก็บถ้วยอาหารมารวบรวมวางไว้ในจุดที่กุ้งพบเจิ้นล่าสุดพร้อมจุดเทียนส่องสว่างไว้จากนั้นจึงนำรถยนต์ไปจอดเปิดประตูทิ้งไว้เพราะคิดว่าเจิ้นอาจจะจำรถได้และกลับเข้ามานอนในรถ คืนนั้นผมและกุ้งตลอดจนพ่อและคนอื่นๆถอยออกมาจากจุดที่วางอาหารกันอย่างเงียบๆรอจนถึงเช้าแต่เจิ้นก็ไม่ยอมออกมาเลย ช่วงเช้ากุ้งต้องขับรถยนตร์ไปทำงานคนเดียวส่วนผมยังคงเฝ้ารอเจิ่นอยู่ที่เดิมโดยที่ไม่มีใครได้นอนกัน
ช่วงสายผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านต่างมาที่ผมเพื่อช่วยคนหาเจิ้นแต่ผมบอกว่าเจิ่นอยู่ใกล้ๆจุดที่เจิ้นหายแต่ด้วยสภาพของป่าที่รกชัฏทำให้เราไม่รู้ตำแหน่งของเจิ้นหากเรานำคนไปค้นหาอีกอาจจะทำให้เจิ้นเตลิดไปไกล จากนั้นผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านจึงเดินทางกลับซึ่งก่อนกลับผู้ใหญ่บ้านได้ปิดกั้นเส้นทางเข้าน้ำตกไม่ให้นักท่องเที่ยวหรือใครเข้ามาอีกเพราะเกรงว่าอาจจะทำให้มีเสียงดังจนเจิ้นหนีไปไกล
จากนั้นผมก็พยายยามถอยออกจากจากจุดที่พบเห็นเจิ้นครั้งล่าสุดมาสังเกตการณ์แบบห่างๆด้วยหวังว่าหากไม่มีเสียงใดๆมารบกวนเจิ้นคงออกมากินอาหาร แต่ตลอดทั้งวันผมก็ไม่เห็นเจิ้นลงมากินอาหารเลย ช่วงบ่ายผมนำต๊อกออกมาเรียกหาเจิ้นแต่ก็ไม่พบตัวเจิ้นหรือเสียงตอบรับเลย ช่วงเย็นมีชาวบ้านหลายคนต่างเดินเข้ามาสอบถามผมที่น้ำตกว่าเจอเจิ้นหรือยังพร้อมทั้งให้กำลังใจเพราะเชื่อว่าเจิ้นยังคงอยู่บริเวณนั้น ตอนค่ำผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านต่างช่วยกันนำอุปกรณ์แสงสว่างมาติดตั้งบริเวณที่ผมวางถ้วยอาหารไว้ให้เจิ้นแล้วก็กลับไปเพราะอยากให้มีคนอยู่บริเวณนั้นน้อยที่สุด
จากนั้นช่วงดึกก็ชาวบ้านคนนึงเดินดุ่มๆมาบอกผมว่าไม่ต้องพูดอะไร
จากนั้นเขาก็เดินไปยังบริเวณที่เจิ้นหายแล้วแหกปากท่องคาถาเสียงดังลั่น
ผมได้แต่อุทานว่า"ชิป" ผมอุตส่าห์ทำทุกอย่างให้เงียบแต่นี่ดันมาตะโกนแหกปาก
ผมจึงไปบอกชาวบ้านคนนั้นว่าอย่าทำเสียงดังเดี๋ยวแมวจะตกใจแต่เขาหันกลับมาบอกผมว่า"ไม่เกินสองทุ่มแมวออกมาแน่"จากนั้นเขาก็เดินจากไป
สักพักมีชาวบ้านอีกคนซึ่งมีอาการเมาเดินเข้ามาหาผมแล้วบอกว่าเชื่อลุงนะ แมวเขารักเจ้าของยังไงซะเดี๋ยวก็ออกมาหา แต่อย่าเสียงดัง ต้องอยู่เงียบๆ สำคัญต้องเงียบไม่งั้นแมวจะตกใจไม่กล้าออกมา ผมจึงได้แต่บอกลุงไปว่า"ผมเงียบมาทั้งวันแล้ว แต่เสียงลุงนี่ดังลั่นเลยนะครับ"ลุงได้แต่หัวเราะแล้วตอบผมว่า"เสียงลุงดังเหรอ งั้นลุงกลับดีกว่า" แล้วลุงก็เดินหายไปในความเงียบผมจึงนำรถยนต์ไปจอดขวางถนนทางเข้าน้ำตกไว้เพราะไม่อยากให้ใครเข้ามาส่งเสียงดังอีก
จากนั้นผมก็นั่งรอเจิ้นอย่างใจจดใจจ่อ เพราะถ้าเจิ้นออกมาก็จะคลายความกังวลไปบ้างเนื่องจากตั้งแต่เมื่อคืนวานยังไม่เห็นเจิ้นออกมาเลย ผมกลัวว่าเจิ้นจะหนีขึ้นไปบนยอดเขาซึ่งจะทำให้การค้นหาทำได้ยากขึ้นอีกจนเวลาเที่ยงคืนครึ่งผมก็เห็นเจิ้นเดินลงมาจากบนเขา ผมรีบปลุกกุ้งซึ่งป่วยและกินยาหลับไปตอนค่ำลุกขึ้นมาดูเจิ้น เจิ้นเดินแบบชิวๆผ่านถ้วยอาหารและกระโดนขึ้นตลิ่งของภูเขาอีกด้าน ผมจึงรีบเดินตามเจิ้นไปแบบกระชั้นชิดพร้อมเรียกชื่อเจิ้นเบาๆ
แต่เจิ้นก็ไม่สนใจผมยังคงค่อยๆเดินใต่หน้าผาแล้วไปนอนใต้ดงหนามในป่า ผมรีบยกถ้วยอาหารส่งให้เจิ้นซึ่งสูงห่างจากผมประมาณเมตรกว่าๆแต่ผมไม่สามารถจับเจิ้นลงมาได้ แถมเรียกเจิ้นก็ไม่สนใจเมินหน้าหนีอีก สุดท้ายผมก็ต้องเดินกลับออกด้วยด้วยอารมณ์โมโหพร้อมทั้งบ่นมาตลอดทางว่า "มันจะยากตรงไหนวะเจิ้น แค่เดินลงมาแล้วก็กลับบ้านแค่นั้น"
ผมจึงเก็บถ้วยอาหารออกทั้งหมด ดูซิว่าใครจะมีความอดทนมากกว่ากัน ถ้าไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน จนเวลาช่วงเช้าผมปีนขึ้นไปดูในจุดที่เห็นเจิ้นเมื่อคืนพบว่าเจิ้นไม่อยู่แล้ว มีร่องรอยของดินที่เจิ้นนอนเป็นแอ่งและบริเวณใกล้ๆกันมีกองอึของเจิ้นอยู่ ผมนั่งปรึกษากับกุ้งว่าวันนี้เรารู้ตำแหน่งของเจิ้นแล้วเดี่ยวช่วงสายๆผมจะไปบอกชาวบ้านให้ช่วยตีวงล้อมบีบไล่เจิ้นลงมาที่โล่ง จนถึงเวลาประมาณ 11 โมงชาวบ้านนับสิบคนพร้อมสุนัขดมกลิ่นก็มาถึงที่น้ำตก
ผมบอกให้ชาวบ้านแบ่งกันเป็นสองกลุ่มขึ้นไปโอบล้อมแล้วเดินแหวกดงหนามเพื่อไล่เจิ้นลงมา
แต่เมื่อทุกคนเดินไล่ลงมาบรรจบกันกลับไม่พบเจิ้น..!!! โชคดีที่มีชาวบ้านคนนึงซึ่งอยู่สูงขึ้นไปกลางภูเขาตะโกนออกมาว่าพบเจิ้นแล้ว
ผมกับชาวบ้านทั้งหมดจึงพากันวิ่งไปยังจุดที่ชาวบ้านคนนั้นร้องบอก
ผมเห็นเจิ้นอยู่บนกองไม้ไผ่ผุๆ ผมเรียกเจิ้นเขาหันมามองหน้าผม
ผมจึงค่อยๆเอื้อมมือไปคว้าเจิ้น แต่ก็มีชาวบ้านคนนึงซึ่งอยู่อีกฝากใช้มีดพร้าฟันไม้ไผ่เข้ามาหาผมทำให้ไม้ไผ่ที่เจิ้นหมอบอยู่กระดกขึ้นมา เจิ้นจึงตกใจและวิ่งหนีขึ้นไปบนเขาสูงอีก ผมและชาวบ้านจึงวิ่งไล่ตามไปจนทัน ผมเข้าไปคว้าเจิ้นไม่ถึงเพราะติดไม้ไผ่จึงให้ชาวบ้านซึ่งอยู่อีกด้านและใกล้ตัวเจิ้นมากกว่าช่วยจับเจิ้นมาให้
“เจิ้นไม่กัดครับ จับมาได้เลย” ผมบอกให้าวบ้านคนนั้นจับตัวเจิ้นมา
“จับคอๆแล้วส่งให้เจ้าของ”มีเสียงชาวบ้านคนอื่นบอกให้คนที่จับเจิ้นส่งเจิ้นให้ผม
เมื่อชาวบ้านคนนั้นพยายามที่จะส่งเจิ้นให้ผม ขณะที่เจิ้นกำลังใกล้จะถึงมือผม
จู่ๆเจิ้นก็หันไปข่วนหน้าชาวบ้านคนนั้นและดิ้นจนหลุดมือทั้งๆที่ผมกำลังจะถึงตัวเจิ้นแค่คืบเดียวเอง จากนั้นเจิ้นก็วิ่งหนีขึ้นไปบนยอดเขา ผมขาอ่อนหมดแรงทันทีเพราะกำลังดีใจที่จะได้ตัวเจิ้นแต่กลับหลุดมือไปต่อหน้าต่อตาที่สำคัญหากเจิ้นวิ่งขึ้นไปพ้นจากยอดเขาลูกนี้อีกด้านก็จะมีภูเขาสลับซับซ้อนอีกหลายลูกทำให้การตามหาตัวเจิ้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ผมจึงบอกชาวบ้านเจ้าของสุนัขที่จูงมาด้วยว่า”ปล่อยหมาเลยพี่ แต่พี่ต้องตามหมาให้ทันนะ”เพราะผมกลัวว่าหมาจะทำร้ายเจิ้นแต่เป็นวิธีสุดท้ายที่ต้องเสี่ยง เพราะขอบเขตในการหาตัวเจิ้นเริ่มกว้างออกไปทุกที
เมื่อชาวบ้านคนนั้นปล่อยเชือกจูงหมาออก หมาตัวนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปยังยอดเขาไปทันที พวกเราทั้งหมดจึงรีบวิ่งตามหมาตัวนั้นขึ้นเขาไปอย่างกระชั้นชิดไม่นานผมก็ได้ยินเสียงหมาเห่ากรรโชก พร้อมทั้งเสียงชาวบ้านตะโกนว่าพบตัวเจิ้นแล้ว ผมจึงรีบวิ่งขึ้นไปตามเสียงนั้นบนยอดเขาทันที เมื่อผมไปถึงยังจุดที่ชาวบ้านตะโกนเรียกมีชาวบ้านคนนึงกำลังอุ้มเจิ้นเดินมาส่งมาให้ผม
ผมคว้าเจิ้นมากอดแน่น ได้กลับบ้านสักทีนะเจิ้นสักพักมีเสียงชาวบ้านที่วิ่งตามผมมาด้านหลังร้องเสียงดังลั่น”แตนต่อยๆ”ชาวบ้านกลุ่มนั้นถามผมว่าผมวิ่งผ่านมายังไงถึงไม่โดนตัวแตนต่อยผมบอกชาวบ้านไปว่า”จะเหลือหรือ หัวผมบวมเป็นลูกมะกรูดอยู่นี่ แต่ผมดีใจที่เจอเจิ้นเลยลืมร้องบอก”จากนั้นผมจึงขอให้ชาวบ้านช่วยกันถางทางเดินลงจากยอดเขา เพราะกลัวว่าหากผมเกิดสะดุดกิ่งไม้ล้มลง เจิ้นอาจจะหลุดวิ่งหนีไปอีกเมื่อมาถึงช่วงกลางภูเขาผมก็พบกุ้งซึ่งกำลังเดินตามผมขึ้นมาบนเขาผมส่งเจิ้นให้กุ้งซึ่งกุ้งก็รับเจิ้นมากอดไว้แน่น
กุ้งบอกกับผมว่า”เธอไปบนบานขอให้ได้เจิ้นกลับมาก่อนเที่ยง แล้วเธอจะสร้างศาลเพียงตาทรงโมเดิร์นไว้ที่น้ำตกแห่งนี้”เมื่อผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูก็เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี..!!!
ผมพาเจิ้นกลับมาถึงที่บ้านแล้ววางเจิ้นลง ดูเหมือนว่าเจิ้นจะไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนหรือตื่นเต้นอะไรคงเดินไปฉี่ในกระบะทรายแล้วเดินมานอนเลียพุงแบบสบายใจครั้งนี้เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับผมที่เกือบต้องเสียของรักไปด้วยความสะเพร่าของผมเอง ซึ่งผมก็ยอมรับผิดในเรื่องนี้ด้วยหนามนับร้อยเล่มที่ปักทั่วร่างกายของผมและหัวที่ปูดโนเพราะโดนแตนต่อยจริงๆแล้วเจิ้นไม่ได้หายไปไหน แต่ด้วยสภาพพื้นที่ทำให้ผมหาเจิ้นไม่พบเอง
ปล.วันนี้มีชาวบ้านมาบอกผมว่าพบนกแก้วคล้ายมาร์คมาเกาะต้นทุเรียน แต่จับไม่ได้บริเวณสวนของชาวบ้านที่ห่างออกไป 2 กม. เมื่อผมไปก็ไม่พบตัวแล้วแต่ก็เป็นข่าวดีว่ามาร์คอาจจะยังคงมีชีวิตอยู่"