วันที่ 25 พ.ย.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมงคล  ตระหง่าน อายุ 54 ปี และนางประไพ อาจหาญ  อายุ 49 ปี สองสามีภรรยา ชาวหมู่ 6 ตำบลปากแพรก อ.สวี จ.ชุมพร ประกอบอาชีพทำน้ำตาลมะพร้ายขาย ร้องขอความเป็นธรรมพร้อมนำชี้จุดเกิดเหตุ  กรณีลูกชายคือนายธันยา หรือเปา  ตระหง่าน อายุ 31 ปี ถูกรถยนต์กระบะคู่กรณีชนเสยท้ายรถจักยานยนต์ลากพ่วงขณะกลับจากนำผลปาล์มทะลายไปขายที่ลานปาล์มแห่งหนึ่งและถูกลากไปไกลเกือบ 50 เมตร ทำให้คอหักเสียชีวิตทันที โดยเกิดเหตุเวลาประมาณเกือบ 19.00 น.ของวันที่ 3 พ.ย.63 ที่ผ่านมาบนถนนทางหลวงชนบทสาย 2010 บริเวณหมู่ 1 (บ้านท่าดี)ตำบลวิสัยใต้ อ.สวี จ.ชุมพร

 

นายมงคล พ่อผู้เสียชีวิต กล่าวว่า หลังเกิดเหตุประมาณ ครึ่งชั่วโมงตนก็ได้เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุพบว่าลูกชายถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสวีไม่ก่อนแล้ว ตอนหลังทราบว่าลูกชายนอนเสียชีวิตอยู่ริมถนนหลังถูกรถยนต์กระบะคู่กรณี ลากร่างและรถจักรยายนต์ลากพ่วงครูดไปกับผิวถนนเกือบ 50 เมตร โดยมีชาวบ้านที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์บอกว่า เหมือนกับคนขับพยายามจะขับรถหนีแต่ไปต่อไม่ได้เนื่องจากรถจยย.ลากพ่วงติดอยู่ใต้ท้องด้านหน้ารถ และมีอาการคล้ายคนเมาสุราด้วย  เวลาต่อมา พ.ต.ท.ลาภ  คำภาพันธ์ สว.(สอบสวน) สภ.สวี ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมเก็บภาพบันทึกไว้เป็นหลักฐานและสอบพยานแวดล้อม หลังจากนั้นนำตัวคนขับรถยนต์กระบะคู่กรณีสอบสวนเพิ่มเติมที่สภ.สวี

 

หลังจากเกิดเหตุระหว่างจัดงานสวดอภิธรรมศพลูกชายอยู่ที่วัดเชิงคีรีพื้นที่ ตำบลปากแพรก อำเภอสวี ได้มีตัวแทนของคู่กรณีนำเงินสดมาช่วยเหลือเป็นจำนวน 25,000 บาท โดยนัดหมายนำจ่ายต่อหน้าพนักงานสอบสวน หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแลเยียวยาจากคนขับรถชนลูกชายอีกเลย

นายมงคล พ่อผู้เสียชีวิต กล่าวต่ออีกว่า ตนเองได้เดินทางไปหาร้อยเวรเจ้าของคดี เพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี รู้สึกไม่สบายใจ หลังได้รับคำตอบว่า “ลูกชายอาจจะมีความผิดร่วม แต่ผมอยู่ในเหตุการณ์วันที่ลูกตาย มันไม่น่าจะผิดร่วมเพราะคนที่ชนเสยท้ายรถลูกผม มันไม่หยุดไม่ปราณีเลย มันแถมเร่งเครื่องใส่เข้าไปอีก ถ้ามันหยุดหรือปราณีลูกผมคงไม่ตาย ชาวบ้านที่เห็นยังสาปแช่งอีกว่ามันใจโหดร้าย มันมองไม่เป็นคนเลย แลเหมือนสุนัข อยากเรียกร้องความยุติธรรมถ้าผลออกมาว่าความผิดร่วมผมจะไม่ยอม ผมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ร้อยเวรก็ทำงานล่าช้า บอกว่าขอเวลา 2 สัปดาห์จนรอแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วยังบอกอีกว่ายังหาหลักฐานไม่ได้ยังไม่ชัดเจน ทั้งที่ผมดูแล้วหลักฐานมีเต็มไปหมด ส่วนที่ชายคู่กรณีมีอาการคล้ายคนเมาในวันเกิดเหตุนั้นด้านร้อยเวรไม่ได้พูดถึงเรื่องเมากับผมเลยครับถามก็ไม่บอก จึงไม่รู้ว่าเมาหรือไม่ และได้จับเป่าวัดแอลกอฮอล์หรือเจาะเลือดหาปริมาณแอลกอฮอล์ในวันเกิดเหตุด้วยหรือไม่”

ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ สภ.สวี พร้อมญาติผู้เสียชีวิต เพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดีและประเด็นปัญหาซึ่งรูปคดีส่อว่าอาจจะเป็นประมาทร่วมซึ่งเป็นประเด็นที่ญาติผู้เสียชีวิตเคลือบคาใจ โดยทางญาติอ้างว่าขัดแย้งกับลักษณะการชน และได้พบกับพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีคนดังกล่าว แต่เมื่อเห็นว่าผู้สื่อข่าวจะบันทึกเสียงภาพเพื่อรายงานข่าวกลับแสดงความไม่พอใจพร้อมทั้งเดินหนีหายทันที จึงไม่สามารถทราบความคืบหน้าล่าสุดและข้อเท็จจริงของคดีดังกล่าว