"สถาบันพระปกเกล้า" จัดเสวนาหาทางออกปัญหา การสร้างศาสนสถาน
26 ก.ค. 2562, 15:46
วันที่ 25 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า ที่สถาบันพระปกเกล้า นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ ๑ (ปสม.๑) สถาบันพระปกเกล้า ได้จัดการสนทนากลุ่มเพื่อระดมความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ เรื่อง “ดุลยภาพระหว่างสิทธิมนุษยชนกับสิทธิชุมชน : กรณีศึกษาการสร้างศาสนสถาน” ณ ห้องภูวนาถประชาธิปก โดยมีผู้เข้าร่วม อาทิ ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ คณะกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดร.ผกาวดี สุพรรณจิตวนา ประธานศูนย์ศึกษาสิทธิมนุษยชน ความขัดแย้งและสันติภาพ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
นาวาอากาศเอกหญิง ดร.ชญาดา เข็มเพชร นักศึกษา ปสม.1 กล่าวในฐานะผู้ดำเนินรายการว่า สิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชนถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่สิทธิมนุษยชนถูกขับเคลื่อนมานานมากกว่า เราได้คำนึงถึงสองสิทธิจึงได้ศึกษาเรื่องการสร้างศาสนสถานในพหุวัฒนธรรมเพื่อนำเสนอแนวทางถึงการอยู่ร่วมกันได้ โดยยกกรณีศึกษาการสร้างศาสนสถานเป็นสำคัญ และใช้การศึกษาเชิงคุณภาพและลงพื้นที่ จ.น่าน ซึ่งมีกรณีขัดแย้งของการสร้างศาสนสถานระหว่างศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม เนื่องจากชาวพุทธในพื้นที่ต่อต้านการสร้างมัสยิด เราจึงจำเป็นต้องหาข้อสรุปเพื่อหาทางออกระหว่างสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นปัจเจกกับสิทธิของชุมชน
ดร.ผกาวดี กล่าวว่า ต้องร่วมกันหาทางออกและหาจุดสมดุลที่ทำให้ความแตกต่างอยู่ร่วมกันได้ ตนศึกษาเรื่องนี้มาสามสี่ปีโดยเฉพาะในภาคเหนือ โดยพูดคุยกับทั้งศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธว่าทำไมชาวบ้านถึงต่อต้านการสร้างมัสยิด ซึ่งจากการศึกษาในประเทศไทยและงานวิจัยต่างประเทศพบตรงกันว่าการสร้างความพึ่งพากันทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการพึ่งพากันในสังคมจะทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์กันเกิดขึ้นได้อย่างถาวร และสิ่งสำคัญที่จะเป็นหลักที่ทำให้สังคมอยู่ร่วมกันได้จะต้องมีผู้นำที่เข้มแข็งและมีความเป็นผู้นำสูง หากจะสร้างมัสยิดในพื้นที่การปฏิสัมพันธ์ในชุมชนๆ นั้นจะต้องมีความพร้อมสูงในการที่จะรับอัตลักษณ์อื่นเข้ามา การที่เราเลือก จ.น่าน เพราะคนทั่วไปมองว่าเป็นเมืองพุทธร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ในความจริงมีศาสนาที่หลากหลาย
ดร.ผกาวดี กล่าวด้วยว่า จากการศึกษาพบว่ามีชาวบ้านใน จ.น่าน นับถือศาสนาอิสลามจำนวน 64 คน แต่อยู่กันอย่างกระจายตัวเป็นการอยู่ดั้งเดิมมาประมาณ 30-40 ปี เมื่อต้องการสร้างมัสยิดก็ได้ยื่นขอก่อสร้างจากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดในกรณีนี้ไม่มีคณะกรรมการอิสลามจังหวัดน่านจึงได้ขออนุญาตจากจังหวัดเชียงราย จากนั้นจึงซื้อที่ดินใน จ.น่าน เพื่อดำเนินการก่อสร้าง แต่ชาวบ้านก็ไม่ยินยอมแม้ว่าจะซื้อที่ดินมาอย่างถูกต้อง โดยชาวบ้านบอกว่าจะสร้างมัสยิดไม่ได้เพราะไม่มีชุมชนมุสลิมมาก่อนดั้งเดิม ปัญหาวิวาทะเหล่านี้จึงเกิดขึ้น เราจึงมาคิดว่าแนวทางที่จะสร้างดุลยภาพระหว่างสิทธิมนุษยชนสากลโดยเฉพาะในเรื่องของการนับถือศาสนากับสิทธิของชุมชนจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
นางประกายรัตน์ กล่าวว่า มีการร้องเรียนเกี่ยวกับประเด็นนี้มาที่คณะกรรมการสิทธิฯ จำนวนมากทั่วประเทศทั้งการสร้างวัดและสร้างมัสยิด ซึ่งคณะกรรมการสิทธิฯ ก็ใช้วิธีการไกล่เกลี่ยจนบางคดีไปถึงศาลปกครองและบางคดีก็ไปสู่ศาลยุติธรรม ตนเห็นว่าทางออกที่ดีที่สุดคือการได้พูดคุยและทำความเข้าใจกันหากยึดเรื่องสิทธิเพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหา ที่สำคัญไม่ควรบังคับให้ชุมชนยอมรับ บางเจรจาให้เกิดการยอมรับต้องใช้เวลาในการพูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ด้าน ศ.ดร.บรรเจิด กล่าวว่า ความขัดแย้งลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในไทยเท่านั้นแต่ยังเกิดขึ้นมากในยุโรป ในความเป็นจริงไทยจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ดีประเทศหนึ่งของโลกมีการจัดการมาตั้งแต่โบราณ ทั้งนี้สิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชนไม่ได้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สิทธิมนุษยชนคือเสรีภาพในความเชื่อแต่การปฏิบัติตามความเชื่อมันมีข้อจำกัดต้องตั้งประเด็นว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร คงไม่ใช่ประเด็นของกฎหมายแต่เป็นมิติว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร การสร้างศาสนสถานมีข้อยกเว้นทางกฎหมายเป็นมิติที่เปิดกว้างของกฎหมายแต่ก็ควรได้รับความเห็นชอบจากชุมชนด้วย ทั้งนี้แนวทางปฏิบัติขิงรัฐในกรณีที่เกิดตงามขัดแย้งรัฐไม่ควรใช้อำนาจเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่รับเปิดรับฟังความคิดเห็นของชุมชนจะต้องใช้หลักการมีส่วนร่วมของชุมชนด้วย