ข้าวทิพย์ ธิดาดิน นักร้องติดดิน แม้โด่งดัง แต่ยังคงนั่งสองแถว เช่าห้องเดือนละ 2,900
15 ม.ค. 2564, 15:32
ข้าวทิพย์ ธิดาดิน เล่า 13 ในวงการ ผ่านในรายการ คุยแซ่บSHOW แม้โด่งดัง แต่ยังคงนั่งสองแถว เช่าห้องเดือนละ 2,900 ครั้งหนึ่งใกล้หมดสัญญา งานจ้างน้อยลงเลยหันกลับบ้านนอก
เป็นนักร้องอยู่แกรมมี่มากี่ปีแล้ว?
"ตอนนี้น่าจะ 13 ปีแล้ว ตอนนี้ยังอยู่แกรมมี่ค่ะ"
กว่าจะมาจุดนี้ในวงการบันเทิง ต้องใช้ความอดทน ขยันขันแข็ง ความพยายามถึง 12 ปี?
"คุณพ่อคุณแม่มีอาชีพหลักทำนา อาชีพเสริมคือหมอลำ ตั้งแต่จำความได้เห็นคุณพ่อร้องหมอลำเลี้ยงเรา มันเป็นความทรงจำที่มีความสุขมากๆ มันเลยทำให้เราอยากฝึกร้องหมอลำ ตั้งแต่เด็กๆจะร้องหมอลำตามทุ่งนา เราก็ครูพักลักจำจากคุณพ่อ และจากทีวี หลังจากนั้นก็มีโอกาสไปร้องเพลงตามวงดนตรีต่างๆ ได้ร้องเพลง และได้เป็นแดนซ์เซอร์ เพลงที่ออกเพลงแรก สาว ม.ปลายยังอายฮัก ตอนนั้นยังไม่ได้เซ็นแกรมมี่ ออกรวมกับน้องใหม่ไต่ดาว โครงการหนึ่งรวมดาวที่ราบสูง เป็นนักร้องภาคอีสาน ตอนนั้นมีนักร้อง 5 คน ตอนนั้นเป็นบททดสอบของแกรมมี่ว่าจะให้ผ่านมั้ย จะได้เป็นนักร้องต่อหรือเปล่า ตอนนั้นแค่ได้มาออกเพลงกับแกรมมี่โกลด์ เรารู้สึกมันเกินฝันมากๆ ที่เด็กบ้านนอกจะได้มาออกอัลบั้ม ได้ทำเพลงร่วมกับนักร้อง ดีใจมาก"
เงินที่ได้จากการออกอัลบั้มตอนนั้นเอาไปทำอะไร?
"เงินก้อนแรกเอาไปปลดหนี้ให้ครอบครัว ข้าวทิพย์มีพี่สาวอยู่ 2 คน แล้วตอนนั้น พี่สาวคนโตเรียนปริญญาตรี ส่วนพี่สาวคนที่สองเรียนมัธยม เราก็เรียนมัธยม แต่การจะมีเงินก้อนไปจ่ายค่าเทอมมันเป็นเรื่องยาก เราขายข้าวก็ได้กำไรแค่ 8000 คุณแม่ก็เลยไปกู้ธนาคารส่งพี่สาวเรียน ตอนนั้นก็เป็นจังหวะที่เราได้เงินก็เอาไปปลดหนี้ ธกส.ไปประมาณครึ่งล้าน"
พอมาเป็นศิลปินแล้ว ทำไมเราไม่ซื้อรถ?
"เวลาเราไปห้างหรือไปซื้อของใช้ เราก็นั่งสองแถวได้ ที่ไม่ซื้อรถเพราะคิดว่าเอาเงินไปใช้หนี้ให้ครอบครัวดีกว่า แล้วเวลาไปคอนเสิร์ตบริษัทก็มีรถตู้ให้อยู่แล้ว รถตู้ก็จะไปรับแล้วก็ส่งเรา แล้วเราไม่ค่อยออกไปเที่ยวด้วย ไม่ค่อยได้ใช้เงิน เวลาจะไปไหนเราก็ไปสองแถวบ้าง แท็กซี่บ้างสลับกัน"
รถไม่ซื้อเราพอเข้าใจแต่ที่พักล่ะ ทำไมไม่ซื้อ ทำไมถึงไปเช่าแมนชั่น?
"เป็นทั้งข้าวทิพย์และทางผู้ใหญ่ด้วย จริงๆเริ่มต้นจากข้าวทิพย์เข้ามาเรียนปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ แล้วมันมีแมนชั่นที่มันใกล้ห้องอัด แมนชั่นราคาเดือนละ 2900 บาท"
แล้วทำไมถึงตัดสินใจกลับบ้าน?
"คือช่วงนั้นเป็นรอยต่อหลายๆ อย่างรุมเร้า คือสัญญาก็ใกล้หมด งานจ้างก็เริ่มน้อย เพลงก็ล่าช้า แล้วน้ำก็ท่วมด้วย เป็นช่วงปี 2554-2558 ซึ่งเงินที่เราเก็บไว้ก็ใช้ไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันเราก็ไม่มีงาน แล้วเงินก้อนอีกก้อนหนึ่ง เราก็ช่วยญาติเพราะเขาจะขายที่เอาไปซื้อรถ เราก็เลยเอาเงินตรงนี้ไปซื้อที่เขาก่อนเผื่อเขาจะเอาที่ไปทำอะไรก่อน ตอนก่อนกลับต่างจังหวัดก็เหลือเงินประมาณหลักหมื่น คือเราดูแลตัวเองดูแลน้องได้ ถ้าเป็นระยะสั้นๆ แต่ถ้าเป็นระยะยาวมันไม่ได้ อยู่ไม่รอดแน่ก็เลยตัดสินใจกลับบ้าน แม่ก็บอกว่าถ้าไม่ไหวก็กลับมานะ แม่จะเลี้ยงเอง ตอนนั้นเราน้ำตาซึมมาก ตอนกลับไปต่างจังหวัดถามว่าลำบากมั้ย คือถ้าเรามีข้าวกิน มีปู ปลา ไก่ กิน เราก็สามารถอยู่ได้แล้ว เพราะใช้เงินไม่เยอะ ซื้อพวกน้ำปลา พริก เกลือ ก็อยู่ได้แล้ว เพราะบ้านเราก็ทำนา ที่บ้านก็ปลูกผักเราก็ไม่ได้ใช้เงินมากมาย ตอนนั้นมีหลานตัวเล็กๆ พอดีเพิ่งคลอดก็เลยไปเลี้ยงหลาน แล้วก็ไปช่วยพ่อแม่ทำนา ปลูกผัก"
ช่วงที่กลับบ้านคนเม้าธ์ว่าเราตกอับรู้สึกอย่างไร?
"ข้าวทิพย์พยายามคิดบวกแม้เราจะไม่ได้ต่อทางด้านนักร้องแล้ว แต่เราก็ยังมีคุณพ่อคุณแม่ที่ยังให้กำลังใจเรา เรายังมีนาที่เราสามารถทำได้ เราจะปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่เราก็ทำได้ ส่วนแฟนคลับ แม้จะชอบที่เราเป็นนักร้องก็จริง แต่ส่วนใหญ่ ก็รักในความที่เราเป็นตัวเรา เราเป็นลูกชาวนา เราไปปักดำนา เราเป็นตัวแทนของคนอีสาน เป็นคนสู้ชีวิตที่ไปสู้ชีวิตในเมืองใหญ่ถ้าไม่ได้ต่อทางสายนักร้อง เราก็อยู่กับทุ่งนาได้ คนก็รักในความเป็นเราที่เราเป็นแบบนี้"