จากกรณีเจ้าหน้าที่จับกุม น.ส.ธวัลกร แคฝอย อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาหลอกคนแก่ที่พักอาศัยอยู่บ้านเพียงคนเดียว ก่อนเข้าไปอ้างว่ารู้จักกับลูก-หลานของเหยื่อจากนั้นก็หลอกให้เหยื่อไปเก็บผักหลังบ้านหรือไปทำกับข้าวให้กิน พอสบโอกาสก็เข้าไปรื้อค้นหาทรัพย์สินของมีค่าของผู้เสียหาย เหยื่อหลายรายถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัวเนื่องจากเก็บสะสมมาทั้งชีวิต ซึ่งหลังถูกจับกุม น.ส.ธวัลกร พยายามผูกคอตัวเองในห้องขังเพื่อหนีความผิด แต่เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือไว้ได้ทัน ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ล่าสุดวันที่ 1 ส.ค. 2562 ผู้สื่อข่าว รายงานว่า พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ต.เอนก  บุญตา สว.กก.3 บก.ป. ร่วมกับ พ.ต.อ. ชิศณุพงศ์ สุริยานนท์ ผกก.กก.สส.ภจว.อุทัยธานี นำกำลังเข้าจับกุม นายสนอง ไวเชิงค้า อายุ 54 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ จ.187/2562  ลงวันที่ 31 ก.ค. 2562  ข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานโดยใช้ยานพาหนะ เพื่อสะดวกในการกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” ได้ที่บ้านเลขที่ 302 หมู่ 2 ต.สะแกกรัง อ.เมือง จ.อุทัยธานี 

 

 

  
 

พ.ต.อ.บุญลือ กล่าวว่า คดีนี้ทางผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและผู้การกองปราบฯ ได้เห็นความทุกข์ร้อนของผู้เสียหายกลุ่มนี้ เพราะแต่ละรายเป็นคนแก่ใจดีมีน้ำใจ ผู้ต้องหาก็ยังกระทำได้ลงคอ จึงสั่งการให้กก.3 บก.ป.สืบสวนจนสามารถจับกุมตัว น.ส.ธวัลกร ก่อนจะขยายผลจับกุมนายสนอง สามีของน.ส.ธวัลกร ซึ่งพบหลักฐานว่า จะร่วมกันขับรถตระเวนไปในพื้นที่ภาคอีสานมองหาเลือกเหยื่อ โดยใช้รถกระบะขนรถจักรยานยนต์ขึ้นบนท้ายรถ เมื่อเจอแหล่งชุมชนก็จะขนรถจักรยานยนต์ลงมาและให้น.ส.ธวัลกรขี่เข้าไปก่อเหตุ ส่วนนายสนองจะนั่งรออยู่ในรถคอยสังเกตการณ์ เมื่อก่อเหตุเสร็จแล้วก็พากันหลบหนี โดยขนรถจักรยานยนต์ขึ้นท้ายรถกระบะ และตระเวนก่อเหตุเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อได้เงินมาแล้วก็นำมาใช้จ่ายร่วมกัน ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน จนนำไปสู่การจับกุมดังกล่าว