จากกรณีการชุมนุมของกลุ่มราษฎรที่ได้นัดทำกิจกรรม "นับ 1 ถึงล้าน" กันในวันที่ 13 ก.พ.64 เพื่อเรียกร้องให้ปล่ยตัวแกนนำทั้ง 4 คนที่ถูกจับกุมตัว โดยในการชุมนุมเริ่มตั้งแต่ช่วง 15.20 น. ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นไปอย่างเรียบร้อยโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอย่างใกล้ชิด จนถึงเวลา 18.15. มวลชนกลุ่มราษฎร ได้นำป้ายผ้าสีแดงขึ้นปิดล้อมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนที่จะประกาศเคลื่อนขบวนไปที่ศาลหลักเมือง

อย่างไรก็ตามหลังจากที่แกนนำประกาศให้ผู้ชุมนุมมุ่งหน้าไปศาลหลักเมือง ก็ได้เกิดความวุ่นวายขึ้น โดยมีมวลชนบางส่วนได้ขว้างปาสิ่งของเข้าไปในแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้มีเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นหลายครั้ง

ถัดมาเวลาประมาณ 20.30 น. ทางแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศยุติการชุมนุม และในเวลาใกล้เคียงก็ได้มีเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นอีกหลายครั้ง ซึ่งหลังจากนั้นมีรายงานว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการควบคุมตัวมวลชนบางส่วนโดยยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด โดยภายหลังทาง พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ ระบุว่า ผู้ชุมนุมถูกจับกุม 11 คน ถูกส่งตัวไปที่ ตชด.

ซึ่งหลังจากเหตุการณ์สงบทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าเคลียร์พื้นที่ถนนหน้าศาลฎีกา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากหน่วย อีโอดี ได้ลงพื้นที่ตรวจพิสูจน์หลักฐานวัตถุคล้ายระเบิด เบื้องต้นเป็นระเบิดแรงดันต่ำ หรือระเบิดปิงปอง

โดยเมื่อเวลา 21.30 น. พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยว่า จากการชุมนุมของกลุ่มราษฎรในกิจกรรม นับ 1 ถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มาถึงศาลหลักเมือง มีการเจรจากับผู้ชุมนุมเพื่อปรับเปลี่ยนแผนของตำรวจ

ซึ่งเมื่อเวลา 19.30 น.ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำตามที่มวลชนร้องขอ แต่กลับมีกลุ่มการ์ดฮาร์ดคอร์ เตรียมประทัด ระเบิดปิงปองมาขว้างใส่ตำรวจจนได้รับบาดเจ็บ 20 นาย ได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นนำส่ง รพ.ตำรวจ โดยการควบคุมสถานการณ์ครั้งนี้ ตำรวจไม่ได้สั่งใช้รถฉีดน้ำ ใช้แต่มือเปล่าและโล่ ผลักดันผู้ชุมนุมตั้งแต่หน้าศาลฎีกามาจนถึงหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ สามารถคุมตัวผู้ชุมนุมได้ 7-8 คน เบื้องต้นกำลังนำไปซักถามที่โรงพักเจ้าของท้องที่ เพื่อแบ่งประเภทความผิดต่างๆ 

โดย รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันอีกว่า การเข้าควบคุมสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปตามหลักยุทธวิธี ส่วนการชุมนุมในวันพรุ่งนี้ ไม่สามารถทำได้ เพราะยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อยู่