นายกฯ เผยแจ้งบัญชีทรัพย์สินเพิ่มเติมแก่ ป.ป.ช.ครั้งที่2 แล้ว ย้ำไม่เคยก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม
16 ก.พ. 2564, 17:37
วันนี้ ( 17 ก.พ.64 ) ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ในวันที่สอง
โดยพลเอกประยุทธ์ได้กล่าวชี้แจงในเรื่อง ใช้มาตรา 44 สั่งปิดเหมืองทองอัครา ทำให้รัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายหลังแพ้คดีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ที่ทาง น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปราย โดยระบุว่า "บริษัทแม่ที่ต่างประเทศได้ฟ้องร้องรัฐบาลไทย เนื่องจากบริษัทลูกไม่ได้รับความเป็นธรรมตั้งแต่ปี 2550 และรัฐบาลไทยได้ต่อสู้ตามกระบวนการและกติกาสากล สิ่งที่รัฐบาลและประชาชนได้รับผลกระทบเช่นกันทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การใช้พื้นที่ที่ต้องสำรวจเรื่องความถูกต้อง โดยกระทรวงอุตสาหกรรมรับผิดชอบการต่อสู้คดีระหว่างประเทศและนำเข้าสู่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ สิ่งสำคัญที่อาจกระทบต่อการพิจารณาคดี คือการนำเรื่องที่อยู่ในชั้นศาลมาพูดภายนอกและฝ่ายค้ายนำมาอภิปรายและให้ข่าว ซึ่งทั้งหมดเป็นการคาดการณ์ทั้งสิ้น เป็นข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ ยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะเรื่องทั้งหมดอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี"
“ยืนยันว่าการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ไม่ใช่การปิดเหมือง แต่เป็นเรื่องการต่อสัมปทานอาชญาบัตร เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพประชาชน และไม่ได้ใช้เฉพาะเหมืองแร่อัคราเท่านั้น แต่ใช้กับเหมืองแร่ทั้งหมด จึงไม่ใช่เรื่องการเสนอผลประโยชน์ตามที่กล่าวหา การดำเนินการใด ๆ รัฐบาลคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก ยืนยันไม่ได้แก้ปัญหาด้วยการใช้คำสั่ง แต่หารือหน่วยงานที่รับผิดชอบ ถ้าเอาอันนี้มาตีอันนั้นมาตี แล้วสรุปจะเอายังไง ก็ต้องมีคนเดือดร้อน ผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อนทั้งสิ้น แต่ก็จำเป็น บางอย่างเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดมาก่อนหน้าผม ผมก็ต้องแก้ปัญหา ถ้าผมไม่พูด ทุกคนก็ไม่รู้กันว่าเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่ ปัญหาอยู่ที่ไหน ทำไมรัฐบาลนี้มาแก้ และก่อนหน้านี้ไม่แก้ให้เสร็จเรียบร้อย ทำไมต้องมาถึงตอนนี้ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ถัดมานายพิจารณ์ เชาวน์มีพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลระบุว่า กองทัพใช้งบประมาณจัดซื้อเครื่องแต่งกายทหารแพงเกินจริง เมื่อเทียบกับการซื้อในเว็บออนไลน์ทั่วไป
พลเอกประยุทธ์ ได้ชี้แจงกรณีนี้ ว่า "กองทัพดำเนินการโดยวิธีจัดซื้อจัดจ้าง มีราคากลางเป็นตัววัด อีกทั้งต้องดูคุณภาพ ศึกษาประสิทธิภาพของสินค้า รวมถึงประสิทธิภาพการผลิตของผู้ขาย ซึ่งต่างจากการซื้อสินค้าออนไลน์ นอกจากนี้ ร้านที่ซื้อจะต้องเสียภาษีให้รัฐด้วย มีการกำหนดวงเงินค่าปรับ หากร้านค้าทำตามสัญญาไม่ได้ จึงทำให้ต้นทุนการผลิตมีราคาสูงกว่าสินค้าออนไลน์"
"เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานทางทหาร มีความคงทน จึงต่างจากการจัดซื้อในตลาดทั่วไป ส่วนการจัดซื้ออาวุธกล้องเพื่อใช้ในภารกิจของหน่วยรบจะต้องมีคุณสมบัติเฉพาะประสิทธิภาพสูง เพื่อความปลอดภัยสำหรับภารกิจในสถานการณ์ที่อันตรายสูงสุด ส่วนการปฏิรูปกองทัพ กำหนดให้การพัฒนาสอดคล้องกับการบริหารความมั่นคงรูปแบบใหม่ การรักษาความสงบเรียยบร้อยในภูมิภาค และเพื่อประสิทธิภาพในการพร้อมรบ เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ผมยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง ขออย่ากล่าวอ้างว่าได้รับผลประโยชน์จากตรงนี้ และยืนยันไม่รับเงินที่ไม่สุจริต ขอเน้นย้ำว่ามีความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง"
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงความจำเป็นต้องจัดซื้อเรือดำน้ำ ว่า เป็นการสร้างความมั่นใจว่าไทยมีศักยภาพที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศ ไทย ไม่เคยมีอุปกรณ์สำรวจท้องทะเลลึก ดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเลของไทย ดูแลเรื่องโรฮิงญา อีกทั้งมีเหตุการณ์ที่บางประเทศลักลอบเข้ามาในน่านน้ำไทยในทางลับ ทั้งนี้การจัดซื้อเรือดำน้ำต้องรออีก 6 ปีกว่าจะได้เรือ และต้องส่งกำลังพลไปเรียนรู้ ยืนยันว่าดำเนินการเพื่อคนไทยทุกคน เป็นการจัดซื้อด้วยงบประมาณที่ถูกลง คุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งในอาเซียนและประเทศต่าง ๆ มีเรือดำน้ำรวมแล้ว 18 ลำ ที่ผ่านมาไทยเคยมีเรือดำน้ำ ปลดประจำการไปแล้วตั้งแต่ปี 2494 ดังนั้นเป็นเวลา 69 ปีแล้วที่กองทัพเรือไทย ไม่มีเรือดำน้ำประจำการ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายอย่างเกิดขึ้นไม่ว่าจะในทางทหารและประชาชนด้วยกัน วันนี้มีความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคมจำนวนมาก จะเห็นได้จากข่าวทั้งตีกัน ต่อยกัน อยากให้บ้านเมืองเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ถ้าทุกคนชินกับความรุนแรง การใช้กำลังการต่อต้านการใช้กฎหมาย แล้วจะอยู่กันอย่างไร จะมีความสุขกันหรือไม่ วันนี้ทุกคนทำงานเต็มที่ เหมาะสมกับการบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมาย ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ด้วย การชุมนุมสามารถทำได้ แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น อย่าใช้ความรุนแรง ท่านอย่าปฏิเสธผม ความรุนแรงเห็นกันอยู่ ใครทำผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมเห็นเขาเป็นคนไทย นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเสมอมาว่าเขาเป็นคนไทย เขาคือผู้ร่วมชาติของผม แต่เขาคิดแบบนั้นกับผมหรือไม่ ผมไม่แน่ใจ ก็แล้วแต่ท่าน แผ่นดินนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ เจตนาดี เจตนาไม่ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้หมด ผมเป็นคนนับถือศาสนาพุทธ ผมก็เชื่อมั่นตรงนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการใช้งบประมาณที่รัฐบาลต้องดูแลหนี้สาธารณะ เงินกู้ต่าง ๆ รวมถึงต้องจ่ายผลการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว ที่รัฐชดเชยไปแล้วกว่า 7 แสน 5 พันล้านบาท เหลือหนี้จำนำข้าวอีกกว่า 2 แสน 8 หมื่นล้านบาท และต้องตั้งงบฯชดใช้ไปอีก 12 ปี นอกจากนี้ยังมีภาระหนี้จากโครงการบ้านเอื้ออาทร อีกกว่า 2 หมื่นล้านบาท รัฐบาลจึงต้องการชี้แจงให้ทราบว่าได้ดำเนินการอะไรอยู่บ้าง และพยายามทำอย่างเต็มที่ทุกประเด็นที่ฝ่ายค้านอภิปรายมา รัฐบาลไม่ต้องการรีดภาษีจากใคร และไม่ปรับขึ้นภาษี โดยเฉพาะช่วงนี้ที่รายได้ประเทศลดลง
"มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าให้ความช่วยเหลือประชาชนไม่ทั่วถึง วันนี้เป็นการช่วยเหลือเพื่อให้ประชาชนดำรงชีพอยู่ได้ และที่ให้ไปเพื่อไปใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น โครงการคนละครึ่ง เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนการใช้เงินในระบบ เกิดมูลค่าเพิ่มการใช้จ่ายในระดับฐานราก วันนี้ทุกคนต้องอยู่อย่างพอเพียง และรัฐบาลจำเป็นต้องสนับสนุนการลงทุนให้มีศักยภาพ ทั้งนี้ ต้องการฟังคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ไม่ผิดหลักการ ไม่ผิดกฎหมายและข้อบังคับ" นายกรัฐมนตรี กล่าว
พลเอกประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท นำมาใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชนจากโควิด-19 ให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มเกษตร ผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ แรงงานในระบบประกันสังคม กลุ่มเปราะบาง รวมกว่า 5.7 แสนล้านบาท และวันนี้มีโครงการเราชนะ ซึ่งอาจจะติดขัดเรื่องการใช้งบฯบ้าง จึงต้องทยอยดำเนินการ มั่นใจว่ารัฐบาลบริหารจัดการได้ดี แม้จะมีคนบางกลุ่มเข้าไม่ถึง ก็เร่งแก้ปัญหา และติดตามปัญหาโดยตลอด ส่วนงบฯที่ใช้เรื่องวัคซีนโควิด-19 รัฐบาลได้เตรียมไว้แล้ว มีเพียงพอและทยอยนำเข้ามา โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและอยู่ในความควบคุมของรัฐ ส่วนถ้าสมาชิกคนใดไม่ต้องการฉีดวัคซีนก็ให้ส่งรายชื่อมา และขออย่าไปอยู่ในการชุมนุมทำให้เกิดการแพร่ระบาดอีก
"ไม่ชอบผมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ชอบประเทศของท่าน ไม่ควร เพราะประชาชนก็คือประชาชนของเรา ที่ต่างฝ่ายต่างรักกันทั้งคู่ คำว่ารักประชาชนต้องไม่เลือกว่าใครเป็นใคร กฎหมายเป็นผู้ดำเนินการอยู่แล้ว ให้ทุกคนอยู่อย่างเป็นปกติในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยแบบไหนก็ตาม ต้องมีกฎหมาย นั่นคือทำให้สังคมสงบเรียบร้อย อันศึกนอกศึกไกล ผมไม่ห่วง แต่หวั่งห่วงศึกใกล้ไล่ข่มเหง หากคนไทยหันมาฆ่ากันเอง เราจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ทั้งนี้ ทันทีชี้แจงจบ นายกรัฐมนตรีได้วางเอกสารและลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างบัลลังก์ประธานสภาฯ ออกนอกห้องประชุมทันที