ผู้ใจบุญแห่บริจาคเงินช่วย หนุ่มป่วยโรคร้าย คล้ายดาราดัง รวมกว่า 3 ล้าน - ล่าสุดปิดรับบริจาคแล้ว
17 มี.ค. 2564, 18:01
จากกรณีครอบครัวนายหงษ์ ทั่วเทพพิทักษ์ และนางมาลี สมานมาก 2 สามี ภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 163 ม.3 บ้านเจ้าคุณ ต.โชคนาสาม อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ วอนสังคมช่วยเหลือครอบครัว เนื่องจากนายทวีศักดิ์ ลูกชายคนโตป่วยเป็นโรคประหลาด มีตุมขึ้นอับเสบมีแผลพุพองทั่วร่างกาย นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสุรินทร์ เดือนกว่าแล้วอาการไม่ดีขึ้น แพทย์บอกว่าเป็นโรคคล้ายกับวินัย ไกรบุตร ดาราชื่อดัง และน่าเศร้าใจเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ลูกชายคนเล็กอายุ 20 ปี เพิ่งเรียนจบ ปวส.ก็มีอาการป่วยแบบนี้เหมือนกัน รักษาตัวอยู่ประมาณ 7 เดือนก็ไม่หาย จนสุดท้ายตัดสินใจฆ่าตัวตายลาโลกไปแล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา
เนื่องจากไม่อยากให้ครอบครัวต้องลำบากรับภาระหาเงินมาการรักษา จากนั้นอีก 4 เดือน ลูกชายคนโตที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว ก็เกิดอาการโรคเดียวกันอีก และผู้ป่วยมีลูกสาว 2 คน อายุ 6 ปี และ 3 ปีที่ต้องเลี้ยงดู ส่วนภรรยาต้องออกจากงานเพื่อมาเฝ้าดูแลสามีที่ป่วย ไม่มีรายได้ และไม่มีเงินในการรักษาเนื่องจากค่ายาแพง จึงวอนผู้ใจบุญให้การช่วยเหลือ ตามข่าวที่นำเสนอไปแล้ว เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุด วันที่ 17 มี.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางมาลี สมานมาก แม่ของนายทวีศักดิ์ สมานมาก อายุ 33 ปี ผู้ป่วย ได้ปิดบัญชีรับบริจาคแล้ว เนื่องจากมียอดเงินบริจาคมากพอที่จะมารักษาตัวลูกชายแล้ว โดยมียอดเงินที่ผู้ใจบุญบริจาคเข้ามาจำนวนทั้งสิ้น 3,636,741 บาท (สามล้านหกแสนสามหมื่นหกพันเจ็ดร้อยสี่สิบเอ็ดบาท)
นางมาลี สมานมาก กล่าวว่า ตนและครอบครัว ขอขอบพระคุณท่านผู้ใจบุญทุกท่านที่มีเมตตาบริจาคเงินช่วยเหลือลูกชายที่ป่วย ตอนนี้เงินน่าจะเพียงพอในการนำไปรักษาตัวลูกชายแล้ว ตนจึงขอปิดบัญชีรับบริจาค เพื่อให้ผู้ใจบุญทั้งหลายได้ไปช่วยเหลือคนอื่นบ้าง หากลูกชายหายป่วยจะให้เขาบวชเพื่อทดแทนคุณท่าน ซึ่งเงินที่ทุกท่านช่วยบริจาคมานั้น จำนวน 3 ล้านกว่าบาท ตนจะนำไปใช้ในการรักษาตัวลูกชายที่ป่วย ให้คุ้มค่ากับเงินที่ท่านได้ให้การช่วยเหลือมา ส่วนอาการของลูกชายตอนก็ยังคงเดิมอยู่ กินอะไรยังไม่ค่อยได้ เขาบอกว่าเขาเหนื่อยมาก ส่วนแนวทางการรักษาต่อไปนั้น ตนจะไปปรึกษากับแพทย์ที่รักษาว่า มีวิธีใดที่จะช่วยรักษาตัวลูกชายของตนให้หายป่วยได้บ้าง ตอนนี้ตนมีเงินจากผู้ใจบุญที่ให้การช่วยเหลือมากพอสมควรแล้ว ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับแพทย์ท่านจะทำการรักษาต่ออย่าง หรือจะแนะนำอย่างไรต่อไป