พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ 500 เสียง ส่วนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ 244 เสียง ส่งผลให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

วันนี้ (5 มิ.ย.2562) เมื่อเวลา 11.00 น.นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่ประธานรัฐสภา พร้อมด้วยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่รองประธานรัฐสภา เปิดการประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่ 1 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 เพื่อพิจารณาแต่งตั้้งผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้แจ้งให้สสาชิกรับทราบถึงการจัดไมโครโฟนไว้ให้ 40 ชุดให้ที่ประชุมในวันนี้

ส่วนในวาระพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 นั้น บุคคลที่จะได้รับการเสนอชื่อต้องมาจากพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง ร้อยละ 5 หรือ 25 เสียง ตามบัญชีพรรคการเมืองเสนอ และจะใช้การลงคะแนนแบบเปิดเผย และบุคคลที่จะได้รับเลือกจากที่ประชุมต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของรัฐสภา ทั้งนี้การเสนอชื่อดังกล่าวให้สิทธิเฉพาะ ส.ส.เท่านั้น ขณะที่ส.ว. ไม่สามารถเสนอชื่อได้ แต่ได้สิทธิเฉพาะลงมติเท่านั้น

ลำดับถัดมานายณัฐพล ทีปสุวรรณ พรรคพลังประชารัฐ เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และทางด้าน น.ส.ศรีนวล บุญลือ พรรคอนาคตใหม่ เสนอชื่อเสนอ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนายกรัฐมนตรี

หลังจากนั้นที่ประชุมอยู่ระหว่างการอภิปรายคุณสมบัติของผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ล่าสุดเวลาประมาณ 21.30 น. ประธานรัฐสภา ได้ยุติการอภิปราย เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี จากนั้นสมาชิก ส.ส.และส.ว.จะลงคะแนนแบบเปิดเผย โดยใช้วิธีการขานชื่อแบบเรียงลำดับตัวอักษร โดยตั้งคณะกรรมการ 6 คน จากตัวแทนพรรคการเมือง จากนั้น ส.ส.หรือ ส.ว.ที่ถูกขานชื่อ จะพูดชื่อบุคคลที่ตนเองเห็นชอบให้เป็นนายกรัฐมนตรี  

ผลปรากฎว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ 500 เสียง ส่วนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ 244 เสียง งดออกเสียง 3 คน ได้แก่ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา, นายพรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภา และนายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ จากพรรคภูมิใจไทย และในการประชุมสภาวันนี้ มี ส.ส. และ ส.ว. เข้าประชุมรวมกัน 747 คน ส่งผลให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย