เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



ตัวแทนที่พักสงฆ์ "บุญญพลัง" ขอบคุณผู้ว่าฯกาญจน์ หลังช่วยให้กลับเข้าสู่โครงการพุทธอุทยาน


6 มิ.ย. 2562, 18:22



ตัวแทนที่พักสงฆ์ "บุญญพลัง" ขอบคุณผู้ว่าฯกาญจน์ หลังช่วยให้กลับเข้าสู่โครงการพุทธอุทยาน




ตัวแทนที่พักสงฆ์พุทธสถานบุญญพลัง  ขอบคุณผู้ว่าฯกาญจน์ หลังช่วยให้ที่พักสงฆ์ กลับเข้าสู่โครงการพุทธอุทยานส่งเสริมให้ที่พักสงฆ์ช่วยงานในด้านป่าไม้ หลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง เหตุถูกกรมอุทยานฯ เพิกถอนเนื่องจากผิดเงื่อนไข  หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวลงพื้นที่พบการก่อสร้างปล่อยนานเหล็กสนิมเริ่มเกาะแล้ว หากนานกว่านี้เสียหายหนักและความหายจริงๆ สำหรับมูลค่าการก่อสร้างอาคารแห่งนี้ หนึ่งร้อยล้านอยู่ข้างหลัง

 

 วันที่ 6 มิ.ย. 62 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า ที่ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี นายวีระจักร์ ศิโรจน์ชยางกุล ตัวแทนที่พักสงฆ์พุทธสถานบุญญพลัง พร้อมด้วย อุบาสกและอุบาสิกาของที่พักสงฆ์ฯ กว่า 50 คนเข้าพบนายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี หลังถูกเพิกถอนออกจากโครงการพุทธอุทยานส่งเสริมให้ที่พักสงฆ์ช่วยงานในด้านป่าไม้ สำหรับที่พักสงฆ์พุทธสถานบุญญพลัง มีเนื้อที่ 20 ไร่ 2 งาน ตั้งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ท้องที่หมู่ 4 ต.ด่านแม่แฉลบ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี การเดินทางจะต้องไปทางเรือเท่านั้น

 

 ทั้งนี้นายวีระจักร์ ศิโรจน์ชยางกุล เปิดเผยก่อนเข้าพบนายจีระเกียรติ ว่าเมื่อประมาณเดือนมีนาคม2561 เราถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติฯกล่าวหาว่าที่พักสงฆ์พุทธสถานบุญญพลัง นั้นผิดเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการพุทธอุทยานส่งเสริมให้ที่พักสงฆ์ช่วยงานในด้านป่าไม้ ทั้งหมด 2 ข้อหา คือ 1.สร้างพระโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.มีไม้และสัตว์ป่าไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

 จากนั้นเราจึงต่อสู้ทางคดี จนกระทั่งอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดว่าไม่ฟ้อง คือเราเป็นผู้บริสุทธิ์ และกรมอุทยานฯก็ได้มากล่าวหาเราบุกรุกพื้นที่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเราได้ต่อสู้ทางคดีอีกเช่นกัน ซึ่งอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง โดยบอกว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์มาตั้งแต่ต้น คือไม่ได้กระทำความผิด

 

 จากนั้นผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง)ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันุ์พืช เรื่องชี้แจงข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาให้ที่พักสงฆ์กลับเข้าร่วมโครงพุทธอุทยานส่งเสริมให้ที่พักสงฆ์ช่วยงานในด้านป่าไม้ เพื่อให้เรากลับเข้าสู่ที่พักสงฆ์พุทธสถานบุญญพลัง การมาในวันนี้ก็เพื่อต้องการขอบคุณนายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เพราะท่านเป็นคนหนึ่งที่ช่วยเหลือเรา ผลักดันเรา ให้เราต่อสู้จนได้รับผลในวันนี้

 

ถามว่า หลังจากอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีครอบครองไม้แปรรูป และสัตว์ป่าคุ้มครอง และคดีบุกรุกป่า อนุรักษ์ ในเขตรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ไปแล้ว แต่ยังมีประเด็นการก่อสร้างฐานพระองค์ใหญ่ ที่เป็นข้อพิพาทอีกเรื่องหนึ่งที่กรมอุทยานมองว่าผิดเงื่อนไข  ประเด็นนี้ได้มีการเจรจากับกรมอุทยานฯ แล้วหรือยัง

 

 นายวีระจักร์ ศิโรจน์ชยางกุล ตอบว่าได้มีการเจรจาเรื่องฐานพระพุทธรูปปแล้ว เพราะว่าฐานพระพุทธรูปได้ถูกสร้างขึ้นก่อนที่จะเป็นพุทธอุทยาน โดยในครั้งแรกที่เราเข้าโครงการฯ เราได้เขียนเงื่อนไขเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่กำลังก่อสร้าง ซึ่งแสดงว่าทางอุทยานฯ อนุญาตให้เราก่อสร้างตั้งแต่ต้นแล้ว และทางอุทยานฯเองก็เอาประเด็นนี้ ไปเพิกถอนเรา ซึ่งเราก็ต่อสู้มาโดยตลอด

 

ถามต่อว่า กรณีนี้จะมีการดำเนินการทางคดีต่อเจ้าหน้าที่อุทยานฯหรือไม่นายวีระจักร์ ศิโรจน์ชยางกุล ตอบว่า เรามาอยู่ร่วมกันดีกว่า เพราะว่าเราชาวบุญญพลัง ไม่ได้ต้องการแผ่นดิน แต่เราทำเพื่อมอบคืนให้กับแผ่นดิน ทำให้กับพระพุทธศาสนา และเพื่อเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับจังหวัดกาญจนบุรี และต่อไปเราอาจจะยกให้กับทางอุทยานฯ ซึ่งอาจจะเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว จะสามารถทำเงินตราเข้าสู่พื้นที่ได้ ซึ่งพื้นที่บริเวณนั้นอาจจะแห้งแล้วไปบ้าง แต่ก็สามารถพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้

 

 ด้านนายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยหลังจากต้อนรับคณะตัวแทนจากที่พักสงฆ์พุทธสถานบุญญพลัง ว่า อันที่จริงเรื่องดังกล่าวผมไม่ค่อยทราบอะไรมากมาย เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราได้รับการร้องเพื่อขอความเป็นธรรม ผ่านศูนย์ดำรงธรรม ทางจังหวัด ทางราชการ และศูนย์ดำรงธรรม ก็ดำเนินการเพื่อให้ความเป็นธรรมอย่างดีที่สุด จึงได้ประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะถ้ารู้ว่าเป็นความเข้าใจไม่ตรงกันเรื่องระเบียบกฎหมาย ไปดูว่ามันพอที่จะเอื้ออำนวยให้เยียวยาความเดือดร้อนได้หรือไม่

 

ซึ่งเราก็ทำในทุกกรณี เราไม่ได้ไปมองว่าใครเป็นฝ่ายไหน หรือใครคือพวกไหน อย่างเช่นพุทธสถานบุญญพลัง ก็มีความตั้งใจดีต่อการสืบทอดพระพุทธศาสนา รวมทั้งตั้งใจช่วยพัฒนาเมืองกาญจน์ ให้เป็นอะไรหลายๆอย่างที่น่าอยู่ ส่วนสายปฏิบัติธรรมก็อาจจะเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่จะทำให้พี่น้องประชาชนชาวเมืองกาญจน์และทั่วประเทศได้รู้จักจังหวัดกาญจนบุรีมากขึ้น

 

และหลังจากที่คณะของอุบาสกอุบาสิกาที่พักสงฆ์พุทธสถานบุญญพลัง ได้เข้าผู้ว่าฯแล้ว สื่อมวลชนได้ลงพื้นที่ เพื่อพบกับ พระอาจารย์สมฤทธิ์  รัตนญาโน ซึ่งเป็นเจ้าสำนักพุทธสถานบุญญพลัง  ซึ่งตั้งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ท้องที่หมู่ 4 ต.ด่านแม่แฉลบ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี และการเดินทางจะต้องไปทางโดยเรือเท่านั้น ซึ่งพบว่าสถานบุญญพลังแห่งนี้ได้สร้างขึ้นมาด้วยความศรัทธาจริงๆ ซึ่งจะดูได้จากการนำวัสดุที่ใช้นำไปใช้ในการก่อสร้างทุกชนิด เช่น เหล็ก หิน ปูน ทราย อื่นๆ รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปถึงได้เลย ดังนั้นจะต้องทุกอย่างใส่แพขนานยนต์ เพื่อลงแพลากข้ามอ่างเก็บน้ำไปอีกระยะหนึ่งใช้เวลาเดินทางนานกว่า 30 นาที  ในส่วนทรายจะต้องนำบรรจุลงถุงปุ๋ย  เมื่อไปถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้ว ก็ต้องมีการแบกโดยใช้แรงคนเหมือนแบบกองทัพมดแบกเดินขึ้นภูเขา เพื่อไปใช้ในการก่อสร้างซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหากขาดความศรัทธาจริงๆ ในการก่อสร้างฐานของ “พระพุทธบุญพลัง” ที่มีขนาดฐานกว้าง โดยเฉพาะหน้าตักมีความสูงขนาดตึก 10 ชั้น โดยโครงสร้างอาคารและฐานของพระพุทธรูปองค์นี้ โดยเฉพาะเหล็กใหญ่และเพิ่มจำนวนมาก ซึ่งหากเปรียบเทียบกับตอม้อทางด่วนแล้วของอาคารแห่งนี้เป็นคนละเรื่องกันเลย

 

จากการสอบถามว่ามีงบประมาณการก่อสร้างไว้เท่าใด ทราบว่าไม่ได้ตั้งงบใดๆ หากต้องการสิ่งใด ทางเจ้าสำนักก็บอกบุญ สายธารจะหลั่งไหลมาจนต้องบอกขอยุติก่อน ซึ่งที่สร้างค้างไว้ให้เห็นนี้หมดงบไปแล้วเกิน 500 ล้านบาทแล้ว  และตั่งแต่เกิดเรื่องฟ้องร้องโครงการนี้ต้องยุติการดำเนินการใดๆ ไปกว่า 2 ปี ทางสถานบุญญพลัง  ก็ไม่ได้ดำเนินการต่อเติมใดๆ ทั้งสิ้นเหล็กที่ชักไว้แต่ยังไม่ได้เท่ปูนจึงเริ่มเกิดเป็นสนิมบ้างแล้ว แต่เรื่องนี้ทางผู้เชี่ยวชาญแจ้งว่ายังสามารถใช้อุปกรณ์กำจัดได้แต่หากนานกว่านี้อาจจะเสียหายได้  แต่หากเกิดความเสียหายจริง อาจจะต้องเกิดการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นแล้ว ความเสียหายมันตีออกมาเป็นเงินคงไม่ได้ เพราะเกิดจากความศรัทธาของประชาชน รวมถึงเด็กนักเรียนในพื้นที่ นักศึกษาจากสถาบันดังๆ ได้เดินทางเข้ามาร่วมประกอบกิจกรรมตรงจุดนี้  ในอดีตพื้นที่พบกับป่าเสื่อมโทรม ในแต่ละปีประชาชนได้นำกล้าพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ ที่สามารถคงทนกับสภาพอากาศของตรงจุดนั้น พร้อมใจกันนำไปปลูกในพื้นที่รอบๆ หลายหมื่นต้น และปัจจุบันนี้พันธุ์กล้าไม้เหล่านั้นก็เริ่มรอดเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้เขียวดูเขียวชะอุ่มในทุกวันนี้  โดยพระอาจารย์สมฤทธิ์  รัตนญาโน ได้พาเดินชมและบอกที่มาของพื้นที่บริเวณนี้ รวมถึงสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ด้วยบอกว่าหากตรงนี้ทำเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะเป็นแหล่งอันซีนของจังหวัดกาญจนบุรี เลยที่เดียว แล้วก็จะส่งให้เป็นทรัพย์สมบัติของชาติต่อไปในอนาคต ไม่ได้เป็นของผู้ใดผู้หนึ่งเลย

 

สำหรับการลงไปสังเกตุการณ์ที่พักสงฆ์พุทธสถานบุญญพลัง มีเนื้อที่ 20 ไร่ 2 งาน ตั้งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ท้องที่หมู่ 4 ต.ด่านแม่แฉลบ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี การเดินทางจะต้องไปทางเรือเท่านั้น พบว่าจุดสร้างอาคารที่ตั้งของพระพุทธรูปบุญญพลัง ปางตรัสรู้รวมถึงอาคารปฏิบัติธรรมแห่งนี้โครงสร้างอาคารใช้เหล็กขนาดใหญ่  แถมทั้งถี่มาก ทราบว่าเพื่อให้เกิดความแข็งแรงสามารถต้านทานหากมีการเกิดแผ่นดินไหว โดยมีวิศกรเป็นผู้ออกแบบจะเฝ้าดูแลการก่อสร้างทุกขั้นตอนในช่วงมีการก่อสร้าง  และหลังจากทางอัยการสั่งออกมาว่าสถานบุญญพลัง ไม่มีความผิด ก็จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างต่อให้เสร็จสิ้น เพื่อให้ได้ใช้ทำกิจทางศาสนาแก่ประชาชน และอาคารนี้อนาคตก็จะอยู่เป็นสมบัติของชาติต่อไป

 

พระอาจารย์สมฤทธิ์  รัตนญาโน เปิดเผยว่า ที่ดินตรงจุดนี้เจ้าของเดิมคือของ นายลือ เพ็ชรพงษ์  เป็นผู้ครอบครองในที่ดินผืนนี้มีการเสียภาษีให้กับทางภาครัฐมาตลอดเวลา  และจากนั้นได้มอบพื้นที่ให้เป็นสถานปฏิบัติธรรม โดยมีพระสงฆ์เดินทางไปพักอาศัย อยู่จำพรรษาตลอดมา และมาเกิดปัญหา เพราะหน่วยงานรัฐได้ทำการขยับแผนที่ดินด้วยประการใดไม่อยากไปพูดถึง  แรกๆ ได้ตกลงกันอยู่ได้ไม่มีปัญหา แต่นานวันมันจึงเกิดปัญหา โดยพื้นที่จุดนี้ รวมไปถึงอำเภอศรีสวัสด์  ทั้งอำเภอเกิดเป็นพื้นที่อุทยานฯ  และที่ต่อสู้มานี้เราไม่ได้สู้เพื่อเอาชนะ  เพราะก่อนหน้านี้มีการพูดจาตกลงกันแล้วว่าอยู่ได้ และมาเกิดการ “ตระบัดสัตว์” กันในภานหลังตั่งแต่ รัฐบาลได้มีนโยบายออกมาให้ตรวจสอบพื้นที่ไม่ใช่เฉพาะที่นี่ที่อื่นๆ ก็เช่นกันจนในเวลาต่อมา ได้มีการมาแจ้งว่าสถานบุญญพลัง แห่งนี้มีการสร้างคล้ายกับรีสอร์ท จนมีเจ้าหน้าที่เกินร้อยคนเข้ามาดำเนินการชี้ว่าอย่างนั้นอย่างนี้  ซึ่งเรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของทางอุทยานฯ แต่ยังไม่ยอมรับความผิดพลาดอีก ได้ยกพลมาตรวจสอบบอกว่าเราบุกรุก ทั้งๆ ที่เราได้ไปร้องทางจังหวัดก่อนแล้ว แต่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ใช้อำนาจขู่เข็น ดังนั้นเราจึงไม่นิ่งเฉยจึงต้องไปฟ้องร้องในมาตรา 157 ให้เขารู้ว่าเราเอาจริงเพราะพื้นที่เป็นของเราถูกต้อง  อย่ามายัดข้อหากลั่นแกล้งเรา  เรายอมไม่ได้กับการยัดความผิดให้กับเราอย่างนี้  เรื่องทั้งหมดจึงได้ไปถึงชั้นอัยการ แล้วทางอัยการก็สั่งลงมาว่าเราไม่ผิดอีกด้วย จึงเป็นที่มาของการที่มีกลุ่มอุบาสก อุบาสีกา ได้เดินทางไปขอบคุณกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายจิระเกียรติ  ภูมิสวัสดิ์ ในครั้งนี้

 




 






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.