วันนี้ ( 15 ก.ค.64 ) นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการทางการทูต เพื่อการจัดหาวัคซีนโควิด-19 จากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของการจัดซื้อ การแลกเปลี่ยน (vaccine swap) และการรับความช่วยเหลือ โดยได้ติดต่อประสาน เพื่อจัดซื้อวัคซีนจากแหล่งต่าง ๆ เช่น จีน สหรัฐฯ รัสเซียฝรั่งเศส และอินเดีย 

โดยในส่วนของจีน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับฝ่ายจีน เพื่อผลักดันการจัดหาวัคซีนให้ไทยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 ในการเยือนไทยของนายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หลังจากนั้น กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีการหยิบยกเรื่องวัคซีนกับจีนในทุกโอกาส กระทั่งวันที่ 22 เมษายน 2564 ฝ่ายจีนได้ประกาศและส่งมอบวัคซีน Sinovac จำนวน 1 ล้านโดสให้กับไทย นอกเหนือจากการอำนวยความสะดวกในการจัดซื้อวัคซีนเพิ่มเติม และได้มีการหารือผลักดันการจัดหาวัคซีนกับสหรัฐอเมริกา มาตลอดเช่นกัน โดยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับผู้ช่วยของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขอให้สหรัฐฯ พิจารณาจัดสรรวัคซีนให้กับประเทศไทย กระทั่ง วันที่ 3 มิถุนายน 2564 รัฐบาลสหรัฐฯได้ประกาศมอบความช่วยเหลือวัคซีนของสหรัฐฯ รวม 80 ล้านโดสให้กับประเทศต่าง ๆ รวมถึง ประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ กระทรวงการต่างประเทศ อยู่ระหว่างการประสานงานในรายละเอียดกับหน่วยงานฝ่ายสหรัฐฯ และกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมความพร้อมในการขนส่งและรับมอบวัคซีน รวมทั้ง แผนบริหารจัดการและจัดสรรวัคซีนดังกล่าวในประเทศ

นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 กระทรวงการต่างประเทศ ได้เจรจาการทำ vaccine swap เพื่อแลกเปลี่ยนหยิบยืมวัคซีนกันใช้ก่อนกับหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้แคนาดา และสหรัฐฯ เชื่อว่า อาจจะมีพอแลกเปลี่ยนกันได้ตั้งแต่กันยายน 2564 เป็นต้นไป และเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศมอบวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า จำนวน 1 ล้าน 5 หมื่นโดสให้ไทย ซึ่งมีการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนการรับมอบวัคซีน และวัคซีนดังกล่าวได้ส่งมาถึงไทยแล้วเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา 

ขณะเดียวกัน ไทย ยังร่วมบริจาคเงิน 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการแบ่งปันวัคซีนภายใต้กลไก COVAX ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งจะทำให้ไทย สามารถแลกเปลี่ยน จำหน่าย หรือแจกจ่ายวัคซีนที่ไทยผลิตได้เองในอนาคต ให้กับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ สอดคล้องกับนโยบายที่ไทยประกาศไว้ว่า วัคซีนคือสินค้าสาธารณะของโลก ที่ประเทศต่าง ๆ ควรเข้าถึงได้ทั่วกัน