ปภ.ประชุมทุกภาคส่วนแก้ภัยแล้ง มุ่งลดผลกระทบภาวะขาดแคลนน้ำ
20 ส.ค. 2562, 19:03
วันนี้ (20 ส.ค.62) เวลา 14.00 น. ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คณะองคมนตรี ประกอบด้วย นายพลากร สุวรรณรัฐ พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา นายจรัลธาดา กรรณสูต พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ พลเรือเอก พงษ์เทพ หนูเทพ นายอำพน กิตติอำพน พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท และพลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง ร่วมติดตามสถานการณ์น้ำและแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ในการประชุมเตรียมการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เป็นประธานการประชุมเตรียมการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และมี นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายนิพนธ์ บุญญามณี และนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (กปภ.ช) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยัง 76 จังหวัด
โอกาสนี้ นายพลากร สุวรรณรัฐ กล่าวว่า คณะองคมนตรีมาในวันนี้ เป็นการเข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งจะได้ฟังข้อมูลสถานการณ์ การเตรียมการ การวิเคราะห์ และการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน หากมีการคาดการณ์ พยากรณ์ของทุกฝ่ายมีความถูกต้อง ก็จะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการ และการประชุมในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านการจัดแผนเผชิญเหตู และบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนได้
ทั้งขอให้ทุกภาคส่วนน้อมนำพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการดูแลประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน
ให้สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว และน้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับแต่ละสภาพพื้นที่ มุ่งเน้นการวางแผนเผชิญเหตุและแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างรอบด้าน โดยให้ความสำคัญกับการจัดสรรน้ำอุปโภคบริโภคถึงระดับครัวเรือน การเชื่อมโยงการบริหารการจัดน้ำในแต่ละลุ่มน้ำ การดูแลแหล่งกักเก็บน้ำในระดับหมู่บ้าน ทั้งการขุดลอกคูคลองและสระน้ำ การกำจัดวัชพืชและโคลนตมในคลองส่งน้ำ การจัดหาภาชนะกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ประจำครัวเรือน อีกทั้งประสานจัดทำฝนหลวงเมื่อสภาพอากาศเอื้ออำนวย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมฯ กล่าวว่า กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ได้บูรณาการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ภายใต้กฎหมายและแผนว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยผ่านกลไกการปฏิบัติของหน่วยงานทุกภาคส่วน แบ่งเป็น 4 ด้าน ดังนี้
1) การคาดหมายและพยากรณ์สภาพอากาศ เพื่อติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และแนวโน้มสถานการณ์ภัย ประกอบด้วย กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
2) การบริหารจัดการน้ำ เพื่อวางแผนการใช้น้ำในด้านต่างๆ ประกอบด้วย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
3) การปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ ซึ่งให้ความสำคัญกับน้ำเพื่อการอุปโภค
บริโภคเป็นลำดับแรก ประกอบด้วย การประปาส่วนภูมิภาค กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในส่วนของน้ำเพื่อการเกษตร ได้บริหารจัดการน้ำตามแผนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
4) การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ ได้แก่ กระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ โดยบูรณาการแก้ไขปัญหาภัยแล้งครอบคลุมทุกมิติ ติดตามข้อมูลสภาพอากาศ ปริมาณน้ำต้นทุน และชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงภัยจำแนกเป็น น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ และน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อวางแผนการจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่ รวมถึงจัดเตรียมทรัพยากรให้พร้อมรับมือภัยแล้ง ทั้งเจ้าหน้าที่ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย รถบรรทุกน้ำ และเครื่องสูบน้ำ
พลเอก อนุพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัยระยะเร่งด่วน ได้เน้นย้ำให้จัดหาน้ำจากทุกแหล่งรองรับการใช้น้ำ ระดมเครื่องจักรกลสาธารณภัยผันน้ำดิบเข้าสู่ระบบการผลิตน้ำประปา ขุดลอกแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ขุดเจาะและเป่าล้างบ่อบาดาล ควบคู่กับการจัดสรรน้ำสนับสนุนทุกพื้นที่เสี่ยงภัย มุ่งดูแลด้านน้ำอุปโภคบริโภคเป็นหลัก โดยจัดรถบรรทุกน้ำนำน้ำไปเติมยังถังน้ำกลางประจำหมู่บ้านและจุดแจกจ่ายน้ำตามวงรอบอย่างต่อเนื่อง กรณีเกิดความเสียหายด้านการเกษตร ประมง และปศุสัตว์ในพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ให้จำแนกความเสียหายตามประเภทและช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ โดยด่วน พร้อมทั้งได้กำชับให้สร้างการรับรู้แก่ประชาชน โดยเฉพาะข้อมูลสถานการณ์น้ำ แผนการจัดสรรน้ำ มาตรการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐ รวมถึงให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้น้ำ เพื่อมิให้เกิดปัญหาการแย่งน้ำ นอกจากนี้ ยังได้วางแผนการบริหารจัดการน้ำไว้ล่วงหน้า เน้นการกักเก็บน้ำจากปริมาณฝนในช่วง 1 – 2 เดือนข้างหน้า เพื่อสำรองน้ำให้เพียงพอต่อการใช้น้ำในปี พ.ศ. 2563 ท้ายนี้ ขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนร่วมกันใช้น้ำที่มีปริมาณจำกัดอย่างประหยัด คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพมากที่สุด เชื่อมั่นว่าความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะทำให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอในทุกพื้นที่