ธปท. แจงข่าวบิดเบือน สถาบันการเงินเสี่ยงล่ม ลดความคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 1 ล้าน/ราย
9 ส.ค. 2564, 13:54
ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีรายงานว่า พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ล่าสุด ได้ออกชี้แจงการตรวจพบข่าวบิดเบือน “กรณีการลดความคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย เพราะสถาบันการเงินเสี่ยงล่ม” ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ตรวจสอบกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กระทรวงการคลัง ยืนยันว่าเป็นข่าวบิดเบือน ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ชี้แจงประเด็นดังกล่าวว่าข้อมูลมีความคลาดเคลื่อน โดยข้อเท็จจริงมีดังนี้
สถาบันคุ้มครองเงินฝาก หรือ DPA (https://www.dpa.or.th/articles/cat/about-dpa) เป็นผู้ประกาศปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝาก โดยมีการปรับลงมาอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงิน จากเดิมอยู่ที่ 5 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงิน ซึ่งการปรับลดวงเงินคุ้มครองดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก
โดยมีวัตถุประสงค์ 2 เรื่อง คือ การรักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน และการคุ้มครองผู้ฝากเงินรายย่อย ไม่ได้เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 แต่อย่างใด
ในปัจจุบันฐานะการดำเนินงานและเงินกองทุนธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งยังแข็งแกร่ง มีการดำเนินงานด้วยความระมัดระวัง และมีธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด
ดังนั้นข้อมูลที่มีการโพสต์ และแชร์ต่อในขณะนี้ จึงเป็นข้อมูลบิดเบือน ขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อข่าวดังกล่าว และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.bot.or.th หรือโทร. 02-283-5353
ทั้งนี้บทสรุปของเรื่องนี้คือ ผู้ประกาศปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากคือสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ไม่ใช่ใช่ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อการรักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน และการคุ้มครองผู้ฝากเงินรายย่อย ไม่ได้เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 แต่อย่างใด
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจัง และต่อเนื่องต่อไป