"หมอธีระ" เตือนระวัง! โควิด-19 อาจระบาดรุนแรงกว่าเดิม ในไตรมาสสุดท้ายของปี
3 ก.ย. 2564, 16:35
วันที่ 3 ก.ย. 64 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat" ถึงสถานการณ์ทั่วโลกวันนี้ โดยพบว่า เมื่อวานนี้ (2 ก.ย.64) ทั่วโลกติดเพิ่ม 651,293 คน เสียชีวิตเพิ่มอีก 10,331 คน โดย 5 อันดับแรก คือ อเมริกา ติดเชื้อเพิ่ม 163,638 คน รวม 40,498,106 คน ตายเพิ่ม 1,477 คน ยอดเสียชีวิตรวม 662,765 คน อัตราตาย 1.6% อินเดีย ติดเพิ่ม 45,482 คน รวม 32,902,345 คน ตายเพิ่ม 357 คน ยอดเสียชีวิตรวม 439,916 คน อัตราตาย 1.3% บราซิล ติดเพิ่ม 26,497 คน รวม 20,830,712 คน ตายเพิ่ม 776 คน ยอดเสียชีวิตรวม 582,004 คน อัตราตาย 2.8% รัสเซีย ติดเพิ่ม 18,985 คน รวม 6,956,318 คน ตายเพิ่ม 798 คน ยอดเสียชีวิตรวม 184,812 คน อัตราตาย 2.6% สหราชอาณาจักร ติดเพิ่ม 38,154 คน ยอดรวม 6,862,904 คน ตายเพิ่ม 178 คน ยอดเสียชีวิตรวม 132,920 คน อัตราตาย 2% โดยที่ อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อาร์เจนติน่า อิหร่าน และโคลอมเบีย ติดกันหลักพันถึงหลายหมื่น
แถบอเมริกาใต้ ยุโรป แอฟริกา เอเชีย หลายต่อหลายประเทศติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น หากรวมทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ พบว่ามีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 90.74 ของจำนวนติดเชื้อใหม่ทั้งหมดต่อวัน แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลักร้อยถึงหลักพัน แถบตะวันออกกลางส่วนใหญ่ยังติดเพิ่มหลักร้อยถึงหลักพัน ยกเว้นอิหร่านติดเพิ่มหลักหมื่นอย่างต่อเนื่อง เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และญี่ปุ่น ติดเพิ่มกันหลักหมื่น ส่วนเมียนมาร์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ ติดกันหลักพัน กัมพูชา ลาว และสิงคโปร์ ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนจีน และนิวซีแลนด์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่ไต้หวันติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
New England Journal of Medicine ฉบับวันที่ 2 กันยายน 2021 ตีพิมพ์งานวิจัยในชิลี ที่ติดตามผลของการใช้วัคซีนเชื้อตาย CoronaVac หรือที่เรารู้จักกันคือ Sinovac โดยทางชิลีมีการอนุมัติให้ใช้ในประเทศ ตั้งแต่ 20 มกราคม 2021 และมีการรณรงค์ให้ฉีดในประชาชนหลังจากอนุมัติไป 2 สัปดาห์ งานวิจัยนี้ติดตามกลุ่มประชากรอายุ 16 ปีขึ้นไป จำนวน 10.2 ล้านคน
หลังจากได้รับวัคซีนไป 2 โดส ห่างกัน 4 สัปดาห์ และประเมินประสิทธิภาพหลังจากรับวัคซีนครบตั้งแต่ 14 วันขึ้นไป ผลการวิจัยพบว่า วัคซีนช่วยป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการได้ 65.9% (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 65.2-66.6%) ลดโอกาสในการป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลได้ 87.4% (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 86.7-88.2%) ลดโอกาสในการป่วยรุนแรงจนต้องรักษาในไอซียูได้ 90.3% (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 89.1-91.4%) และลดโอกาสที่จะเสียชีวิตได้ 86.3% (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 84.5-87.9%)
เดิมในการวิจัยจากประเทศต่างๆ ในระยะที่ 3 นั้นมีข้อมูลในกลุ่มผู้สูงอายุน้อยมาก ทั้งนี้งานวิจัยนี้ช่วยชี้ให้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้สูงอายุว่า วัคซีนช่วยป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการได้ 66.6% (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 65.4-67.8%) ลดโอกาสในการป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลได้ 85.3% (95% CI, 84.3 to 86.3) ลดโอกาสในการป่วยรุนแรงจนต้องรักษาในไอซียูได้ 89.2% (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 87.6-90.6%) และลดโอกาสที่จะเสียชีวิตได้ 86.5% (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 84.6-88.1%) นอกจากนี้ ในภาพรวมยังพบว่าภูมิคุ้มกันนั้นจะตรวจพบในคนที่ฉีดวัคซีนเพียง 17% หลังฉีดไปเกิน 6 เดือน ซึ่งตอกย้ำความสำคัญของการต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้น
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ประสิทธิภาพของวัคซีนนี้หากประเมินหลังจากฉีดเข็มแรกไป 14 วัน จะน้อยกว่าที่เคยมีรายงานในวัคซีนประเภท mRNA และ viral vector โดย CoronaVac เข็มแรก จะป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการได้ 15.5% (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 14.2-16.8%) ลดโอกาสป่วยจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลได้ 37.4% (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 34.9-39.9%) ลดโอกาสป่วยรุนแรงจนต้องรักษาในไอซียูได้ 44.7% (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 40.9-48.3%) และลดโอกาสเสียชีวิตได้ 45.7% (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 40.9-50.2%) ข้อมูลข้างต้น เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องใส่หน้ากาก ล้างมือ อยู่ห่างคนอื่น เจอคนน้อยๆ ลดละเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแพร่เชื้อ
สำหรับสถานการณ์ของไทยเรา เน้นย้ำว่าการระบาดยังรุนแรงต่อเนื่อง กระจายไปทั่ว และยังไม่สามารถตัดวงจรการระบาดได้ ไตรมาสสุดท้ายของปีจะเห็นการระบาดที่ทวีความรุนแรงขึ้นไปกว่าเดิม หากไม่ป้องกันให้ดี ใส่หน้ากากนะครับ สองชั้น ชั้นในเป็นหน้ากากอนามัย ชั้นนอกเป็นหน้ากากผ้า สำคัญมาก เลี่ยงการกินดื่มในร้านอาหาร ศูนย์อาหาร โรงอาหาร ซื้อกลับจะปลอดภัยกว่า