จากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิค-19 ที่มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง อยู่ในขณะนี้ ทำให้ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ (สบค.) ต้องเร่งกระจายวัคชีน เพื่อนำไปฉีดให้กับประชาชน โดยกลุ่มเสี่ยง ที่เรียกว่า กลุ่ม 608 ประกอบไปด้วยประชากร 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคอ้วน, โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 1 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ก็ได้มีการทยอยฉีดวัคซีน ให้กับประชาชน กลุ่ม 608 อย่างต่อเนื่องในช่วงนี้

 

 

โดยเฉพาะที่ ตำบลกระโพ ตำบลบะ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ เป็นพื้นที่ ที่มีการเลี้ยงช้างมากที่สุดในประเทศไทย ทางสาธารณสุขอำเภอท่าตูม โรงพยาบาลท่าตูม ได้จัดทีมแพทย์ ออกฉีดวัคซีนให้กับประชาชน กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่ม 608 ในพื้นที่ 2 ตำบล ที่บริเวณศูนย์คชศึกษา (คต-ชะ-สึก-สา) บ้านตากลางหมู่บ้านช้าง มาตั้งแต่ วันที่ 8-11 กันยายน 2564 โดยมีการฉีดวัคซีนเข็มแรก เป็นซิโนแวควัคซีน เข็มสองแอสตร้าเซนเนก้า วัคชีน จำนวน 1,500 โดส ซึ่งมีทั้งผู้ฉีกเข็มแรก และผู้ฉีดเข็มสอง

และที่สร้างสีสันบรรยากาศคลายเครียด ให้กับกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ที่เป็นคนเลี้ยงช้าง เป็นเจ้าของช้าง ด้วยการฉีดวัคซีนบนหลังช้าง ให้โลกจดจำ บางคนก็ขี่ช้างมารับการ ฉีดวัคซีนเอง บางคนก็ให้ลูกหลานขี่ช้าง พามาฉีดวัคซีน โดยแพทย์ และพยาบาลที่จำทำการฉีดวัคซีนให้ จะต้องขึ้นไปยืนรอบนเรือนขึ้นช้าง จากนั้นควาญช้างก็จะขี่ช้างมาเทียบ แพทย์ ก็จะฉีดวัคซีนให้ ผู้ที่นั่งช้างมาฉีดวัคซีน มีทั้งนายศิริศักดิ์ ร่วมพัฒนา รองนายก อบจ.สุรินทร์ นายประกิต กลางพัฒนา อดีตผู้ใหญ่บ้านตากลาง ซึ่งทั้งสองคน เป็นทั้งควาญช้างและเจ้าของช้างหลายเชือกด้วย นอกนั้นก็มีผู้สูงอายุ อีกหลายคนด้วยกัน นั่งช้างมารับการฉีดวัคซีนในครั้งนี้