น้องชายอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าพุฯ วอนมองสองด้าน หลังศูนย์บำบัดฯ ถูกร้องเรียน ด้านผู้บำบัดที่บวชเป็นพระยันวัดดูแลดี
23 ก.ย. 2564, 10:47
จากกรณีมีผู้ปกครองของผู้บำบัดยาเสพติดรายหนึ่งได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมให้กับลูกชาย ที่เข้ารับการบำบัดที่ศูนย์สงเคราะห์บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด วัดท่าพุราษฎร์บำรุง หมู่ 10 ต.ด่านมะขามเตี้ย อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ถูกเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ กักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ
เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 นายจีรพันธ์ เพชรขาว (หมอปลา) พร้อมด้วย นายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ นำคณะสื่อมวลชนเข้าตรวจสอบศูนย์ฯ ดังกล่าว และในวันเดียวกัน นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้เดินทางลงพื้นที่วัด เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และร่วมพูดคุยถึงประเด็นดังกล่าว โดยได้สรุปและประสานเจ้าหน้าที่ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 17 นำรถทหารขนย้ายผู้บำบัดไปพักรอที่ รพ.สนาม (เขาชนไก่) ในค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหาร ต.ลาดหญ้า อ.เมืองกาญจนบุรี การชั่วคราวโดยทันที
ล่าสุดวันนี้ 23 ก.ย.64 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า ได้เดินทางไปยังศูนย์สงเคราะห์บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด วัดท่าพุราษฎร์บำรุง หมู่ 10 ต.ด่านมะขามเตี้ย อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี พบ นายธวัช ภูมิผิว น้องชายอดีตเจ้าอาวาส พร้อมเปิดเผยถึงประเด็นต่างๆ ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ว่า อยากให้ผู้เสพข่าว ผู้เสพโซเซียลต่างๆ ได้ดูสองด้าน อย่าดูด้านเดียว ถ้าดูด้านเดียวทุกคนจะมองวัดเสื่อมเสียทั้งหมด แต่ท่านต้องมาดูว่าความเป็นจริงทั้งหมดมันเป็นอย่างไร และที่เกิดเหตุมาเพราะอะไร
ด้าน นายธวัช กล่าวอีกว่า ที่นี่จะมีกฎระเบียบ แต่ที่ออกข่าวไปว่าใช้กระบองเหล็ก หรือวัตถุอื่นๆ นั้น ไม่เป็นความจริง จะมีเพียงไม้เรียวไว้ทำโทษ กรณีที่ผู้บำบัดทำผิดกฎที่กำหนดไว้ จะดูแลกันเหมือนพ่อแม่สอนลูก เหมือนครูสอนลูกศิษย์ ถ้าทำผิดก็ต้องมีการลงโทษ ถามว่า ขนาดพ่อแม่พวกเขายังเอาไม่อยู่ เลยเอามาฝากวัดให้ช่วยดูแล บางคนพาผู้บำบัดมาส่งที่วัดเพียงครั้งเดียว ผ่านไป 3 – 4 เดือน หรือบางรายเป็นปี ไม่เคยติดต่อมาหาบุตรหลาน และบางครั้งโทรศัพท์ไปก็ไม่รับ ติดต่อไม่ได้ หายไปเลย เหมือนต้องการปล่อยทิ้งไว้เลย แล้วผู้บำบัดในบางส่วนที่ย้ายไปพักรอที่ รพ.สนาม (เขาชนไก่) ในค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหาร ต.ลาดหญ้า อ.เมืองกาญจนบุรี ถ้าไม่มีญาติติดต่อมารับพวกเขาจะอยู่อย่างไร ใครจะรับผิดชอบพวกเขา
สำหรับประเด็นที่มีการกักขังหน่วงเหนี่ยวที่ออกไปเป็นข่าวนั้น นายธวัช กล่าวว่า ส่วนที่ต้องมีการควบคุมนั้น เนื่องจากอยู่กันแบบคนหมู่มาก เขาอยากกลับบ้าน ถ้าแอบหนีออกไป แล้วไปลักรถ ลักเสื้อผ้า ลักข้าวของของชาวบ้าน เกรงว่าจะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านละแวกใกล้เคียงรวมทั้งวัดก็จะมีปัญหา
ส่วนประเด็นที่เป็นข่าวในเรื่องห้องน้ำมีแค่ 2 ห้องนั้น ขอชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้ทางวัดรับผู้บำบัดยาเสพติดเข้ามายังศูนย์สงเคราะห์บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ประมาณ 50-60 คน แต่ภายหลังญาติ พี่น้องของผู้บำบัดฯ ได้บอกต่อกันมา ฝากกันมาทำให้ปัจจุบันมีผู้เข้ารับการบำบัดฯ ที่ศูนย์แห่งนี้จำนวนมากขึ้น ทำให้เกิดความแออัด ทำให้ห้องน้ำที่มีจำนวน 2 ห้องในศูนย์ไม่พอใช้ แต่ทางศูนย์แก้ปัญหาหากถ่ายหนักจะมีห้องน้ำด้านนอกให้ใช้ สำหรับผู้ที่มีสติสัมปชัญญะดี ถ้าผู้บำบัดไม่มีสติสัมปชัญญะก็จะให้ใช้ห้องน้ำด้านใน
ส่วนประเด็นการเก็บเงินจำนวน 12,000 บาทนั้น นายธวัช เผยว่า ทางศูนย์ฯ จะเก็บเงินค่าเข้ารับการบำบัดจำนวน 12,000 บาทระยะเวลา 1 ปี โดยเข้าวัด 10,000 บาทถ้าเฉลี่ยแล้วประมาณเดือนละ 800 บาท และอีก 2,000 บาท เป็นฝากไว้ให้ผู้บำบัดสำหรับไว้ซื้อข้าวของเครื่องใช้ หรืออาหารตอนเย็น วันละ 60 บาทต่อเดือน
ด้านผู้บำบัดที่สมัครใจบวชพระ เปิดเผยถึงความเป็นอยู่ที่มาเข้ารับการบำบัดที่ศูนย์แห่งนี้ว่ามีลำบากบ้าง บางครั้งถ้าทำผิดเขาก็ทำโทษบ้าง แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่แบบปกติ ในส่วนผู้บำบัดฯ ที่ไม่ได้บวชพระนั้น บางครั้งก็มีออกมาทำกิจกรรม ตัดหญ้าบ้าง ช่วยงานวัด หล่อพระบ้าง สำหรับท่านแล้วตัดสินใจอยู่ที่วัดนี้ต่อเพราะที่นี่ดีดูแลดี
ขณะที่พี่สาวผู้บำบัดที่สมัครใจบวชเป็นพระสงฆ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่มีประเด็นออกไปว่ามีการเก็บเงินนั้นถูกต้อง และเรียกเก็บอีกเดือนละ 2,000 ก็ถูกต้อง แต่ถ้าเทียบกับที่ให้เลี้ยงผู้บำบัดที่บ้านนั้นเดือนละ 2,000 นั้นไม่พอต้องมีวันละ 1,000 กว่าบาท และสิ่งที่ได้เห็นคือน้องชายตนเองบวชเป็นพระ ทั้งกริยา หน้าตา ท่าทาง สมบูรณ์ และอยากให้น้องชายบวชอยู่ที่นี่ต่อจนแก่เฒ่าเลย และอยากให้สถานที่นี้มีอยู่ต่อไป ถ้าสถานที่ดูแออัดไปก็อยากให้ปรับปรุงขยับขยายสถานที่ให้ถูกสุขลักษณะและเพียงพอต่อผู้ที่อยู่ที่นี่ ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ตนสัมผัสมาสถานที่แห่งนี้ดีมาก ส่วนการทำโทษนั้นถ้าคุณทำผิดก็ต้องลงโทษเหมือนการเลี้ยงลูกถ้าลูกทำผิดก็ต้องตีต้องทำโทษ ถึงมองว่าเป็นวิธีที่แรง แต่อะไรจะหยุดเขาได้ ดังนั้นถ้าเขาไม่ผิดก็ไม่มีใครไปทำโทษเขาอยู่แล้ว เพราะทุกคนก็อยากอยู่กันอย่างสงบสุข จึงอยากให้มองกันที่ประเด็นว่าโดนทำโทษเพราะอะไร
ทั้งนี้บรรยากาศภายในวัดดูเงียบเหงาหลังจาก พระครูปลัดประสิทธิ์ รตินฺธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าพุราษฎร์บำรุง ได้มรณภาพเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 โดยชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณวัด กล่าวถึงพระครูปลัดประสิทธิ์ รตินฺธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าพุราษฎร์บำรุง ว่าท่านเป็นพระที่พูดตรง ดุบ้างถ้าทำผิด แต่ไม่มีการทำร้ายร่างกาย อาจจะลงโทษบ้างถ้าเราทำผิด เหมือนเราเป็นนักเรียนทำผิดก็ต้องโดนทำโทษโดนตีเหมือนกันมันเป็นเรื่องธรรมชาติมันเป็นกติกาเป็นกฎที่ต้องดูแลผู้บำบัด
พร้อมกล่าวทั้งน้ำตาว่า “สงสารอดีตเจ้าอาวาสฯ บางครั้งเห็นในโซเชียลก็มีคอมเม้นท์โต้กลับไปบ้าง อยากให้เห็นแก่อดีตเจ้าอาวาสฯ บ้าง ท่านมรณภาพไปแล้วไม่สามารถพูดอะไรได้ ท่านจะมาโต้แย้งอะไรก็ไม่ได้ คนเป็นก็พูดไปคนตายพูดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว” และบรรยากาศในการสวดพระอภิธรรมศพเจ้าอาวาส มีประชาชนลูกศิษย์จากในพื้นที่และที่อยู่ต่างจังหวัดไปร่วมเป็นจำนวนมาก โดยศพจะตั้งสวดเป็นเวลา 100 วัน แล้วจะมีการร่วมประชุมกันก่อนว่าหลังจากนั้นจะดำเนินการอย่างไร เพราะช่วงนี้ข่าวเรื่องศูนย์บำบัดฯ ทำให้ทุกอย่างวุ่นวายมาก จนทางคณะกรรมการไม่สามารถมาพูดคุยเรื่องพิธีศพเจ้าอาวาสฯเลย