เจ้าของธุรกิจรถยก แจ้งความขอความเป็นธรรม ถูกชายฉกรรจ์ 2 คน พูดจาข่มขู่ - จะจับสามีตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด
19 ต.ค. 2564, 16:48
วันนี้ 19 ต.ค. 2564 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า นางสาวยา (นามสมมติ) อายุ 24 ปี นำคลิปบันทึกเสียงโทรศัพท์ ของชาย 2 คน ที่โทรเข้ามาต่อว่า พร้อมข่มขู่ จะจับตัวสามีของตนเองไปตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด เนื่องจากไม่พอใจ กรณีที่นางสาวยา นำรูปถ่ายของชายทั้ง 2 คน ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน และขับรถบุกเข้ามาถึงบ้านของนางสาวยา เพื่อจะขอเคลียร์กรณีข้อพิพาทระหว่าง นางสาวยา กับทางเจ้าของอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งในตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ส่งให้กับพนักงานอัยการจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อเป็นหลักฐาน
โดยนางสาวยา พูดถึงต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดว่า เริ่มมาจากการที่ ตนเองนำรถยนต์กระบะที่ใช้รับงานรถยก ไปเข้าอู่ซ่อมของคู่กรณีซึ่งตั้งอยู่ในตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนปี 2563 ซึ่งเมื่อเจ้าของอู่ซ่อมรถได้ตรวจสภาพดูแล้วได้แจ้งว่ารถของตน เกิดอาการน้ำข้ามปะเก็นเครื่องยนต์เข้าเสื้อสูบ ซึ่งเจ้าของอู่ก็ดำเนินการซ่อมให้ เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000 บาท เมื่อซ่อมรถเสร็จ ต้นได้นำรถกลับมาใช้ตามปกติ แต่ก็ใช้ได้เพียง 2 วัน รถก็เกิดเสียอีก ต้นก็นำรถไปให้อู่เดิมตรวจสอบดู ช่างแจ้งว่า รถเกิดอาการฝาสูบแตก ต้องเปลี่ยนฝาสูบ ตนจึงไปหาซื้อฝาสูบจากร้านที่รู้จักกันมาในราคา 3,000 บาท และนำฝาสูบมาให้ที่อู่ดังกล่าวเปลี่ยนให้ แต่ทางอู่ก็อ้างว่าฝาสูบที่นำมาใช้ไม่ได้ เพราะขนาดไม่เท่ากัน จำเป็นต้องนำไปกลึงเสียค่าเครื่องให้กับทางอู่ไปอีก 13,000 บาท ซึ่งหลังจากตนจ่ายเงิน 10,000 บาท ไปให้กับทางอู่เป็นค่ากลึงฝาสูบแล้ว ทางอู่ก็ยังไม่ดำเนินการซ่อมรถของตนให้ เพื่อนำไปให้กับอู่ของช่างที่รู้จักกันที่จังหวัดชัยนาท ซ่อมแทน แต่ปรากฏว่า
เมื่อนำรถพร้อมอะไหล่ทั้งหมดไปให้กับอู่ของช่างที่รู้จักกันในจังหวัดชัยนาทซ่อม ช่างที่รู้จักกันกลับแจ้งให้ตนทราบว่า ฝาสูบเครื่องยนต์ ที่ช่างจากอู่เดิมแจ้งว่าเกิดอาการแตกร้าวนั้น ไม่ได้เป็นฝาสูบจากรถของตนเอง แต่เป็นของรถคันอื่น ส่วนฝาสูบที่นำไปเสียค่ากลึง 13,000 บาทนั้น เป็นฝาสูบของรถตนเองและไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไร แต่ฝาสูบที่ตนเสียเงินซื้อมาจำนวน 3,000 บาท กลับหายไปโดยไม่ทราบว่าหายไปไหนและเจ้าของอู่ที่เอาไปซ่อมก็ไม่ได้ชี้แจงว่าเอาฝาสูบดังกล่าวไปทำอะไร ทำให้ตนรู้สึกว่าโดนหลอก จากอู่ที่เอารถไปเข้ารับการซ่อม ตนจึงได้ติดต่อกลับไปหาเจ้าของอู่ที่เคยเอารถไปซ่อม พร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าของอู่ฟังและขอคำชี้แจง แต่เจ้าของอู่ ก็ยังยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ได้หลอกลวงตน และพร้อมที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้ส่วนหนึ่ง
โดยนัดจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายกันที่สถานีตำรวจ แต่เมื่อถึงวันนัด ทางเจ้าของอู่คู่กรณี ก็ไม่มาจ่ายเงินให้ตามที่นัด เมื่อตอนติดต่อไปหา เจ้าของอู่กลับช้าให้ตนไปแจ้งความฟ้องร้องดำเนินคดีเอา ตนจึงได้หารือกับสามีและทนายความก่อนไปแจ้งความดำเนินคดีกับทางเจ้าของอู่ซ่อมรถดังกล่าว รวมถึงนำเรื่องราวของตนไปโพสต์ลงใน Facebook ส่วนตัว เมื่อเจ้าของอู่ได้เห็นข้อความที่ตนโพสต์ใน Facebook ก็ได้โทรศัพท์มาข่มขู่ว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีเอาผิดกับตนตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ซึ่งตนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีชายฉกรรจ์ 2 คน ขับรถยนต์กระบะสีดำเข้ามาหาตนและสามีที่บ้าน โดยเมื่อมาถึง ชายทั้ง 2 คน ได้อ้างตัวว่าเป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นกู้ภัย รวมถึงเป็นเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติด ก่อนจะพยายามขอให้ตนและสามียอมไกล่เกลี่ยกรณีข้อพิพาทระหว่างตนกับทางอู่ซ่อมรถ แต่ตนยืนยันไปว่าเรื่องดังกล่าว ได้เข้าสู่ชั้นอัยการเรียบร้อยแล้วขอให้ไปเจรจาไกล่เกลี่ยกันที่ศาลแทน ทำให้ชายทั้งสองคนกลับไป
ซึ่งเมื่อถึงวันนัดไกล่เกลี่ย ตนได้แนบรูปถ่ายของชายทั้งสองคนพร้อม ระบุถึงเหตุการณ์ที่ชายทั้ง 2 คน อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานเข้ามาขอเคลียร์กับตนและสามีที่บ้าน แนบไปในเอกสารส่งให้กับพนักงานอัยการจังหวัด ก่อนที่การเจรจาไกล่เกลี่ยจะได้ข้อสรุปว่า ไปอู่ซ่อมรถคู่กรณียินยอมที่จะจ่ายเงินค่าเสียหายให้กับตนและสามีจำนวน 13,000 บาท ซึ่งถือว่าน้อยกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของตนมาก แต่เนื่องจากตนไม่อยากที่จะเสียเวลาและมีคดีความต่อเนื่อง จึงยินยอมเซ็นรับเงินชดเชยดังกล่าว และนัดหมายที่จะมาจ่ายเงินกันที่สถานีตำรวจภูธรบ่อพลอย ในวันนี้ 19 ตุลาคม 2564
แต่ปรากฏว่า หลังจากเดินทางกลับออกมาจากสำนักงานอัยการได้ไม่นาน ชายทั้ง 2 คน ได้โทรศัพท์เข้ามาต่อว่า เรื่องที่ตนและสามีนำรูปถ่ายและเหตุการณ์ที่ชายทั้ง 2 คน เข้ามาขอเคลียร์ถึงที่บ้าน ไปส่งให้กับอัยการ โดยชายทั้ง 2 คน ต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงพร้อมข่มขู่ว่าจะจับสามีของตนไปตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ตนจึงตัดสินใจนำคลิปบันทึกเสียงการสนทนาของชายทั้ง 2 คน ไปส่งให้กับทางเพจ เพื่อขอความเป็นธรรม จนกลายเป็นข่าวดังกล่าว
ด้าน นางพา (นามสมมติ) ภรรยาเจ้าของอู่ซ่อมรถคู่กรณี ให้ข้อมูลว่า ชายทั้ง 2 คน ที่เดินทางเข้าไปขอเคลียร์กับคู่สามีภรรยาดังกล่าว เป็นน้องที่รู้จักกันกับตน และทำงานเป็นทหารอยู่หน่วยหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งตนได้ไปขอความช่วยเหลือให้ชายทั้งสองคนช่วยเป็นตัวกลางเข้าไปเจรจาไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีให้ เนื่องจากไม่อยากมีคดีความขึ้นโรงขึ้นศาลไม่อยากเสียเวลาทำมาหากิน ซึ่งการให้ชายทั้งสองคนเดินทางไปพูดคุยเป็นตัวกลางขอเคลียร์ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะไปหาเรื่องหรือมีเจตนาคมคู่กรณีแต่อย่างใด เพราะตนและครอบครัว ก็เป็นคนทำมาหากินเปิดอู่รับซ่อมรถ ไม่อยากที่จะมีปัญหายืดยาว
ด้านนายโอ (นามสมมติ) สามีของนางสาวยา หญิงสาวผู้เสียหาย ให้ข้อมูลว่า วันนี้เดินทางมาเพื่อทำการรับเงินชดเชยจากคู่กรณีจำนวน 13,000 บาท ซึ่งฝ่ายตนและฝ่ายคู่กรณีได้มีการตกลงกัน ยินยอมไม่เอาความกันอีกทั้งในเรื่องของการซ่อมรถ และเรื่องของการที่ตนไปโพสต์ ต่อว่าอู่ซ่อมรถของคู่กรณีใน Facebook ทั้งสองฝ่ายยินยอมที่จะจบปัญหาระหว่างกัน ซึ่งตนก็ยินดีและไม่ได้ติดใจอะไร
แต่ในส่วนเรื่องของชาย 2 คน ที่บุกเข้ามาถึงบ้านของตนและอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานพร้อมพูดจาข่มขู่ตนและภรรยานั้น ตนจะเดินทางไปลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานไว้ที่สถานีตำรวจภูธรลาดหญ้า เนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตนและครอบครัว เพราะกลัวว่าจะถูกชายทั้งสองคนเข้ามาทำร้าย ทั้งนี้ อยากจะฝากไปถึงชายทั้งสองคนว่า ขอให้อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของตนอีก เพราะที่ผ่านมาตนและชายทั้งสองคนก็ไม่เคยรู้จักหรือมีปัญหาอะไรกัน ขอให้ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตนเองไปอย่าได้มายุ่งเกี่ยวกัน และตนก็ไม่คิดจะไปแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับชายทั้งสองคนด้วย