"หนุ่มสกลนคร" แค้นลูกถูกเหยียดหยาม ใช้อาวุธปืนขู่คู่กรณี สุดท้ายไม่รอด! ตำรวจตามจับทันควัน
27 ต.ค. 2564, 20:14
วันที่ 27 ตุลาคม 2564 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า เวลาประมาณ 16.40 น. จนท.ตำรวจ ชุดสายตรวจ ชุดจราจร และชุดสืบสวน สภ.เมืองสกลนคร รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 จากประชาชนว่า มีชายรายหนึ่งพกพาอาวุธปืนพกลงจากรถเก๋ง เพื่อนำไปข่มขู่คู่กรณีที่มีปัญหากันบริเวณจุดขายสินค้า ใกล้สำนักงานเทศบาลนครสกลนคร ก่อนจะขับรถดังกล่าว ออกจากไปจากที่เกิดเหตุ จนท.ตำรวจ นำกำลังออกตรวจสอบตามที่รับแจ้ง เบื้องต้นพบรถผู้ต้องสงสัย รถเก๋งฮอนด้า ซีวิคไดเมนชั่น สีส้ม ขับขี่ไปยังบริเวณซอยหลังเทศบาล จากนั้นขับมุ่งหน้าออกไปยัง ถนนสกล-นาแก
จนท. จึงนำกำลังออกติดตามจนกระทั่งไปถึงบริเวณสี่แยกบ้านนาอ้อย-สารพัดช่าง จนท. จึงใช้ยุทธวิธีการจับกุมตรวจค้นอย่างระมัดระวังโดยให้สัญญาณหยุดรถ เนื่องจากรับแจ้งว่ามีอาวุธปืน กระทั่งรถคันต้องสงสัยจอดข้างทาง ตรวจสอบบุคคลในรถพบมีคนขับเป็นผู้ชายเพียงรายเดียว จึงให้คนขับลงจากรถ ก่อนที่จะควบคุมตัวไว้ในทันที จากนั้นกำลังเสริมได้มาถึง จนท. จึงจะขออนุญาตตรวจค้นรถ ทราบชื่อคนขับ นายประเสริฐ อายุ 37 ปี ชาว จ.สกลนคร โดยให้คนขับขี่ที่ถูกควบคุมตัวร่วมตรวจสอบด้วยพร้อมบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของ จนท. เพื่อค้นหาสิ่งของผิดกฎหมาย
ระหว่างการตรวจค้น ผู้ต้องสงสัยพยายามปฏิเสธว่า ไม่ได้มีอาวุธปืนตามที่ถูกกล่าวหา เมื่อตรวจค้นพบกล่องพลาสติกคล้ายกล่องเก็บอาวุธปืนอยู่หลังเบาะผู้โดยสารฝั่งซ้าย เมื่อเปิดออกมา เจอกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวนหนึ่ง และแมกกาซีนอยู่ในกระเป๋าสะพายลายพรางอีกจำนวนหนึ่ง แต่ จนท. ยังไม่ปักใจเชื่อว่าไม่มีอาวุธปืนจึงควบคุมตัวไปสอบสวน ที่ สภ.เมืองสกลนคร เมื่อตรวจค้นโดยละเอียดจึงพบอาวุธปืนขนาด 9 มม. ซุกซ่อนอยู่บริเวณคอลโซนหน้ารถฝั่งคนโดยสาร ตรวจสอบอาวุธปืน พบเป็นอาวุธปืนมรดกมีทะเบียน จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน
นายประเสริฐ กล่าวว่า ตนนั้นมีอาชีพค้าขายรู้สึกแค้นใจกับคู่กรณีที่เป็นผู้ปกครองของเด็กอีกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุได้พูดดูถูกว่าลูกสาวของตนว่า หากเป็นเด็กผู้ชายจะเตะก้านคอเข้าให้ ตนรู้สึกโมโหจึงพกพาอาวุธปืนลงไปข่มขู่ แต่ยังไม่ได้ทำอะไรกันก็ขับรถออกจากที่เกิดเหตุ ก่อนที่จะมี จนท. ตำรวจ มาจับกุมตัว จนท. ตำรวจต้องตรวจสอบประวัติเพิ่มเติม เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหา พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไปในหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีเหตุอันควร นำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป