รองโฆษกฯ เผยความพร้อมหารือไฟเซอร์ปมจัดหา "ยาแพกซ์โลวิด" รักษาโควิดในไทย
11 พ.ย. 2564, 19:29
วันนี้ ( 11 พ.ย.64 ) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการจัดหายาสำหรับรักษาโควิด-19 ว่า ขณะนี้รัฐบาล ได้มีการพิจารณาในการเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้แล้ว ทั้งในส่วนของยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพกซ์โลวิด โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 1.3 พันล้านบาท ซึ่งการจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ อยู่ภายใต้งบประมาณดังกล่าวดังกล่าวด้วย โดยจัดสรรงบประมาณให้กรมการแพทย์ จำนวน 500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถขึ้นทะเบียนต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และนำมาใช้ได้ในช่วงธันวาคม 2564 หรือประมาณมกราคม 2565 นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังเตรียมหารือกรณียาแพกซ์โลวิดร่วมกับบริษัท ไฟเซอร์ ครั้งที่ 3 ในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ ยืนยันรัฐบาลจะพยายามจัดหายาที่มีคุณภาพสำหรับมารักษาผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศไทยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งรองรับการเปิดประเทศให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ทั้งนี้ จากผลการทดสอบยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพกซ์โลวิด พบมีประสิทธิผลช่วยลดอาการรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ผลดี ไม่ว่าจะเป็นไวรัสโควิดสายพันธุ์ไหนและยังไม่พบว่ามีอาการข้างเคียงรุนแรง โดยยาโมลนูพิราเวียร์ สามารถช่วยลดอาการรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตลง 50% ขณะที่ยาแพกซ์โลวิด ช่วยลดอาการรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตลง 89% ในส่วนของยาที่ใช้อยู่ปัจจุบัน สถานการณ์ยาคงเหลือ ณ วันที่ 4 พฤศจิกายน พบว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ คงเหลือ 21 ล้านเม็ด และยาเรมเดซิเวียร์ คงเหลือ 7 หมื่นกว่าเม็ด เพียงพอต่อความจำเป็นในการรักษาผู้ป่วย
สำหรับการเข้าถึงชุดตรวจ ATK องค์การเภสัชกรรมได้เปิดจำหน่ายชุดตรวจโควิด-19 คุณภาพ ภายใต้ “โครงการ ATK คุณภาพเพื่อสังคมไทย” ในราคาชุดละ 40 บาท เปิดช่องทางการจำหน่ายเพิ่มเติมในระบบออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ www.gpoplanet.com อีกครั้งในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 เปิดขายเวลา 08.00 น.
“แม้จะมีรักษาโควิด-19 แต่สิ่งสำคัญที่สุดประชาชนทุกคนยังต้องปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข Universal Prevention หรือ การป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล เป็นการป้องกันตนเองขั้นสูงสุดตลอดเวลา ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง เพื่อลดการติดเชื้อและแพร่เชื้อ และให้ปลอดภัยจากโควิด 19 เป็นดีที่สุด” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว