ระทึก "เรือประมงเวียดนามเหิม" ละเมิดน่านน้ำไทย พุ่งชนเรือตรวจการณ์ทหารเรือ
17 พ.ย. 2564, 18:22
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองบังคับการสถานีเรือสมุย ฐานทัพเรือสงขลา กองทัพเรือภาคที่ 2 ต.ลิปะน้อย อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พล.ร.ท.สุนทร ดำคล้าย ผบ.ที่ 2 ในฐานะ ผอ.ศรชล. ได้มอบหมายให้ พล.ร.ต.พิจิตร ศรีรุ่งเรือง รอง.ผบ.ทรภ.2 พล.ร.ต.สุรศักดิ์ ประทานวรปัญญา รอง ผอ.ศรชล. ภาค 2 พร้อม น.อ.วศากร สุนทรนันท์ รอง.ผอ.ศรชล จังหวัดสุราษฎร์ธานี ร.อ.กีรติ ภาณุพิจารย์ ผบ.รล.ท้ายเมือง ร.อ.กฤศฎา ศรีปริยัติ ผบ.เรือ.ต.113 พร้อมตำรวจน้ำเกาะสมุย ได้ร่วมกันแถลงข่าว การจับกุมเรือประมงเวียดนาม ที่ฝ่ามรสุม มาทำประมงในเขตน่านน้ำไทย พร้อมยึดเรือประมงเวียดนามไว้ได้ 2 ลำ ลูกเรือประมงชาวเวียดนาม 5 คน พร้อมของกลางใต้ท้องเรือประมง เป็นปลิงทะเล และซากปลาฉลาม
โดยทาง พล.ร.ต.พิจิตร ศรีรุ่งเรือง รอง.ผบ.ทรภ.2 แถลงว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กองบังคับการสถานีเรือสมุย ฐานทัพเรือสงขลา กองทัพเรือภาคที่ 2 ได้รับรายงานว่า ว่าพบกลุ่มเรือประมงต่างขาติรุกล้ำเข้ามาทำการประมงในทะเลอาณาเขตของประเทศไทย จำนวนประมาณ 40 ลำ บริเวณแลตติจูด 8 องศา 50 ลิปดา เหนือ ลองจิจูด 100 องศา 50 ลิปดา ตะวันออก บริเวณเกาะกระ บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้รายงานให้ พลเรือโท สุนทร คำคล้าย ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ทราบ และได้สั่งการให้เรือ ต.113 ซึ่งจอดเรือรับสถานการณพร้อม ณ สถานีเรือสมุย ฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 ออกเรือลาดตระเวณ ตรวจสอบกลุ่มเรือประมงต่างชาติดังกล่าว โดย 1840 เรือ ต.113 ได้ตรวจกลุ่มเรือประมงต้องสงสัยจำนวน 4 ลำ จึงได้นำเรือเข้าไปตรวจสอบ พบว่าเป็นเรือประมงสัญชาติเวียดนาม จึงได้แสดงตัวเพื่อตรวจค้นและจับกุมกลุ่มเรือประมงดังกล่าวตามขึ้นตอน ในระหว่างนั้นเรือต้องสงสัยลำหนึ่งได้พุ่งมาจากทางกราบขวาพุ่งเข้าใส่เรือ ต.113 ทำให้ได้รับความเสียหายเล็กน้อย และเรือประมงกลุ่มดังกล่าวพยายามนำเรือหลบหนีในระหว่างที่เรือ ต.113 จนทำให้ทางเรือตรวจกาณ์ ต้องยิงสกัด และ ทำการตรวจสอบความเสียหาย
ต่อมา ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ได้สั่งการให้จัดตั้งหมู่เรือเฉพาะกิจ ประกอบด้วย ร.ล.ตาปี ร,ล.แกลง ร.ล.ท้ายเหมือง และเรือ ต.113 เครื่องบิลลาดตระเวนแบบที่1 จำนวน 1 เครื่อง เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ จำนวน 6 นาย ออกปฏิบัติการลาดตระเวน ค้นหา จับกุม เรือประมงต่างชาติที่รุกล้ำเข้ามาทำการประมงในพื้นทางทะเลของประเทศไทย
และในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 เวลา 08.20น. ร.ล.ท้ายหมือง และ ร.ล.แกลง ตรวจพบเรือประมงเวียดนาม จำนวน 1 ลำ จึงได้ทำการแสดงตนทำการตรวจค้น จับกุม ผู้ควบคุมเรือพร้อมลูกเรือชาวเวียดนาม จำนวน 5 คน ต่อมาเวลา 09.00น. ร.ล.นราธิวาส และ เรือ ต.113 ตรวจพบ เรือประมงเวียดนาม จำนวน 1 ลำ ผลการตรวจค้น ตรวจไม่พบลูกเรือบนเรือลำดังกล่าว และตรวจพบร่องรอยการชนที่บริเวณหัวเรือ จึงคาดว่าน่าจะเป็นเรือประมงเวียดนามลำที่ได้พุ่งชนเรือ ต.113 สันนิษานว่าลูกเรือประมงลำดังกล่าวได้ทำการหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ โดยได้ขนย้ายลูกเรือ และถอดอุปกรณ์ในการประมงบางส่วนออก เพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม
จากนั้นได้ทำการควบคุมเรือประมงของกลางและลูกเรือทั้งหมด เดินทางกลับเข้าฝั่ง ณ ที่เทียบเรือ สถานีเรือสมุย ฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่2 เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป โดยตั้งข้อกล่าวหา จำนวน 3 ข้อหา ดังนี้
“ร่วมกันใช้เรือไร้สัญชาติทำการประมง (พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 มาตรา10 และร่วมกันทำการประมงพาณชย์โดยไม่มีใบรับอนุญาติทำการประมง (พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 มาตรา36 ประกอบมาตรา 129 วรรคสอง )
2.เป็นคนต่างด้าวร่วมกันทำหน้าที่เป็นลูกเรือในเรือประมงโดยไม่ได้รับอนุญาติ (พ.ร.บ.ว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตการประมงไทย พ.ศ. 2482 มาตรา 5 ทวิมาตรา 11 ทวิ)
3. ทำการประมงในเขตการประมงไทยโดยทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมเรือโดยไม่ได้รับอนุญาติ (พ.ร.บ.ว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตการประมงไทย พ.ศ.2482 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง (1) หนึ่งมาตรา 11 วรรค หนึ่ง )
ด้าน พล.ร.ต.พิจิตร ศรีรุ่งเรือง รอง.ผบ.ทรภ.2 เปิดเผยยว่า ในเบื้องต้นก็เป็นการดำเนินการของการตรวจค้น ตามแบบฝึกของเรือยุทธการอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ในระหว่างที่เข้าดำเนินการ มีเรือของทางเวียดนาม อยู่ 1 ลำ ได้แสดงเจตนา โดยนำเรือเข้าชนเรือของทางราชกองทัพเรือ โดยผู้บังคับการเรือได้ป้องกันเรืออย่างเต็มกำลัง แต่ก็ยังมีร่องรอยการถูกเฉี่ยวชนที่ข้างเรือ เรือลำที่พุ่งชน สามารถเข้าทำการจับกุมมาได้ โดยที่ลูกเรือและผู้ควบคุมเรือได้รับการช่วยเหลือให้หนีไปกับเรือลำอื่น และนำอุปกรณ์การประมงและอุปกรณ์การสื่อสารไปบ้าง บางส่วน โดยปล่อยเรือให้ลอยลำอยู่ใกล้กับจุดที่เกิดเหตุ ซึ่งเรือประมงเวียดนาม ด้านหัวเรือบุม เกิดจากการชน ส่วนเรือกองทัพเรือ ได้รับความเสียหายเล็กน้อย
ตามข้อตกลงของกระทรวงการต่างประเทศของไทย กับ เวียดนาม เค้าขอให้เราดำเนินการกับเรือประมงเวียดนามอย่างอลุ่มอล่วย ซึ่งในระยะเวลาที่ผ่านมา ทางทัพเรือภาคที่2 หรือกำลังทางเรือของกองทัพเรือเอง ก็ได้ดำเนินการตามนั้น แต่ต่อมาในระยะหลังเรือประมงเวียดนาม จะปฏิเสธการจับกุมอยู่เนื่อง ก็จะหลงหนี จะหลีกเลี่ยง หรือมีเจตนาจะพุ่งชน ซึ่งในอนาคตเราก็ต้องมีหนังสือการท้วงติงไปที่กองทัพเรือ อาจจะถึงกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการต่อในเรื่องนี้ แต่ที่สำคัญทัพเรือภาคที่2 ต้องเพิ่มความเข้มงวดและเพิ่มมาตราการในการป้องกันตนเองของเรือให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งมาตราการต่างๆ ไปตามขึ้นตอนกฏของการใช้กำลังอย่างเห็นชัด ซึ่งการปกป้องเรือ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของกองทัพเรือและ เป็นยุทธ อุปกรณ์สำคัญ อย่างไรก็ต้องรักษาไว้ ตามความสามารถอย่างดีที่สุด และในอนาคตคงจะไม่เกิดเรื่องพวกนี้อีก
ขณะที่ ร.อ.กฤศฎา ศรีปริยัติ ผบ.เรือ.ต.113 ที่นำเรือออกไป เปิดเผยขณะเผชิญหน้ากับเรือประมงเวียดนามกลางทะเลว่า ตนได้อยู่ในพื้นที่ ที่ได้รับรายงาน และได้นำเรือเข้าตรวจสอบ ทางเรือประมงเวียดนามได้มีพฤติการในการเปลี่ยนเข็มหลบหลีก เข้าหาเรือในพื้นที่ และพยายามพุ่งชน เรือของทางราชการอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทางเรือก็ได้มีมาตราการจากเบาไปหาหนัก ใช้มาตราการตรวจค้นที่ได้รับกองทัพเรือภาคที่ 2 จนสุดท้ายก็ได้ติดตามเรือเวียดนามและจับได้ในช่วงเช้าของอีกวัน.//