เปิดใจ หนุ่มวัย 31 หายตัวในป่า 5 วัน มีชายร่างใหญ่ 2 คนพาไป
26 ธ.ค. 2564, 09:43
ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า จากกรณีที่นายไวพจน์ วังคีรี อายุ 31ปี อยู่บ้านเขาพระอินทร์ หมู่ที่ 5 (บ้านภูเตย) ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ ได้หายตัวไปจากพื้นที่ บริเวณไร่มันในหมู่บ้าน ขณะที่แม่ยังคงยืนดูลูกเดินเข้าทำธุระส่วนตัวในดงมัน แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แม้ในเวลาต่อมาจะมีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเฉพาะกิจลาดหญ้าฯ อ.ส.อำเภอทองผาภูมิ เจ้าหน้าที่อุทยานลำคลองงู อาสาสมัครมูลฯธิพิทักษ์กาญจน์ และเพื่อนบ้าน รวมกว่า 70 คน ออกค้นหาตลอดระยะเวลาที่หายไป ตั้งแต่บ่ายวันที่ 19 ธันวาม 2564 แต่ก็ไม่พบร่อยรอยใดๆ
จนกระทั่งใน เวลา 17.30 น ของวันที่ 23 ธ.ค.64 ชาวบ้านภูเตย พบตัวนายไวพจน์ วังคีรี ซึ่งอยู่ในสภาพอิดโรย ร่างกายไร้เสื้อผ้า เหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียว เดินเท้าเปล่า เท้าทั้ง 2 ข้างบาดแผลพุพอง ยืนโบกรถอยู่ริมข้างทาง บริเวณทุ่งเกษตร หมู่ที่ 5 บ้านภูเตย อบต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ ไร่ของนายทองสุก วรรณสัมผัส ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 8 กม. ก่อนจะแจ้งข่าวให้ดีให้ครอบครัวทราบในเวลาต่อมา
จึงเกิดคำถามมากมายตาม ว่า ตลอดระยะเวลา 5 วัน 4 คืน ที่หายตัวไป นายไวพจน์ วังคีรี หรือที่ครอบครัวเรียกชื่อเล่นว่า บิน ไปอยู่ไหน ไปกับใคร เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนนับร้อยที่ช่วยกันออกตามหาแทบพลิกแผ่นดิน เดินค้นหาร่องรอยในพื้นที่เกือบทุกตารางนี้ เริ่มตั้งแต่ในพื้นที่ไร่มัน จุดที่นายบินเดินเข้าไป แต่ไม่พบร่องรอยใดๆเลย ตลอด 5 วัน จนสุดท้ายครอบครัวต้องไปนิมนต์พระวิจิตร ภัททกิตตโก (หลวงตาจิตร)เจ้าอาวาสวัดบ้านน้ำมุด (พระเกจิอาจารย์ ชื่อดัง)ที่ชาวบ้านเคารพเลื่อมใส มาทำพิธีในบ่ายวันที่ 25 ธันวาคม 2564 จนนำมาสู่การพบตัวนายบิน ในเวลาเย็นวันนั้นเอง
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 25/15 ม 5 ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นบ้านของนายบิน เต็มไปด้วยญาติ พี่น้อง เพื่อนสนิท รวมทั้งเพื่อนบ้านในหมู่บ้านและมาจากต่างหมู่บ้าน ที่เดินทางมาเยี่ยม และแสดงความยินดีกับพ่อและแม่ ของนายบิน รวมทั้งมาร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับนายบิน พร้อมทั้งไต่ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากนายบิน
ในขณะที่นายบินเองยังอยู่ในสภาพที่อิดโรย เนื่องจากความเหนื่อยล้า และยังขวัญเสียกับเรื่องราวที่เพิ่งพบเจอมา และยังคงต้องนอนพัก สลับกับการลุกนั่งบ้างในบางครั้งบนเตียนนอน กลางลานบ้าน ส่วนบริเวณแขน และ มือทั้ง2 ข้างพบร่องลอยบาดแผล และรอยถลอก จากการโดยใบไม้บาดและมีรอยฟกช้ำ เท้าทั้ง 2 ข้าง พบรอยช้ำเป็นจ้ำๆและพุพอง บริเวณหลังและฝ่าเท้า
นายบินกล่าวว่า ผมยังนอนผวา สะดุ้งตื่น ภาพผู้ชายตัวดำ รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางน่ากลัว ที่คอยสวดคาถาหรืออะไรก็ไม่รู้กรอกหูผมอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งขู่ผมทุกครั้งที่ผมคิดจะหาทางหนีเพื่อจะกลับบ้าน
เที่ยงวันที่ 19 ธันวาคม ผมขับรถมอเตอร์ไซด์เพื่อจะไปรับแม่ กลับบ้านมากินข้าวเที่ยงด้วยกัน หลังจากช่วยพ่อรดน้ำผักที่แปลงผัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก เมื่อขึ้นไปรับแม่ที่สวนพริกมาถึงที่รถมอเตอร์ไซด์จอดอยู่ ผมรู้สึกปวดท้องจึงบอกให้แม่รอที่รถ เพื่อจะเข้าไปปลดทุกข์ในดงมันที่ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร พอเดินเข้าไปในดงมันยังไม่ทันทำอะไร ทุกอย่างก็มืดลง ผมพยายามหันกลับไปมองหาแม่ แต่ก็ไม่พบ ไม่เจอและไม่ได้ยินอะไร นอกจากชาย 2 คนตัวดำ สูงใหญ่ หน้าตาดุดัน ที่สวดคาถาหรืออะไรใส่หูผม พร้อมบอกให้ผมเดินตามไป ผมต้องค่อยเดินสลับกับการคลานไปอย่างช้าๆ
เนื่องจากทุกอย่างอยู่ในความืด ไม่มีลม ไม่มีแสงสว่างใด ๆ ไม่มีจุดหมาย แต่ต้องไปตามเสียง ที่ชาย 2 คนที่คอยสั่งผมอยู่บนยอดเขา ไม่รู้เวลา ไม่รู้วัน ทุกครั้งที่ผมคิดจะหันกลับบ้าน ผู้ชายทั้ง 2 ก็จะรู้และขู่ ยิ่งทำให้ตนเองหวาดกลัว ผมอาศัยกินน้ำตามแอ่งน้ำเล็กๆที่เจอระหว่างทาง โดยเอาใบไม้มาม้วนแทนแก้วเพื่อคลายหิว บางครั้งก็กินหยวกกล้วยจากต้นกล้วยป่า ประทังความหิว อาศัยนอนใต้ต้นไม้บ้าง ตามโขดหินบ้าง บางคืนหนาวจนถึงกระดูก บางครั้งต้องเอาใบตองกล้วยป่ามาปูนอน มันเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะทรมาน คิดถึงพ่อและแม่อยู่ตลอดเวลา
ในหูจะได้ยินเสียงสวดของผู้ชาย 2 คน นั้น สลับกับเสียงขู่ อยู่ตลอดเวลา ต่อมาผมเริ่มได้ยินเสียงพระสวดมนต์ แทรกเข้ามาในหูอีกข้าง ไม่นานเสียงพระที่สวดมนต์ค่อย ๆ ดังขึ้น ๆ ขณะที่เสียงสวดของชาย 2 คน เริ่มแผ่วลงๆ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงชาย 2 คนนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด วินาทีนั้นมีแสงสว่างเกิดขึ้นผมจึงได้เดินตามแสงสว่างนั้นออกมาจากที่มืดต่อจากนั้นผมจำอะไรไม่ได้ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกที่เหมือนเดินอยู่ข้างทางที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่รู้ขณะที่ตาเริ่มพร่ามัว มารู้สึกตัวอีกที่ก็พบพ่อและแม่ รวมทั้งพี่ๆและญาติ ทุกคนดีใจ ผมก็ดีใจที่ได้เจอพ่อและแม่อีกครั้ง หมอมาดูอาการผม ก่อนที่ทุกคนจะพาผมกลับบ้านอีกครั้ง
ผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริง ๆ ไม่คิดว่าจะได้กลับมาบ้านอีกครั้ง มันเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัว ผมไม่รู้จะเล่าอย่างไร ภาพผู้ชาย 2 คนยังติดตาผมอยู่จนวันนี้ ผมคงไม่กล้าออกไปไหนสักพัก
เมื่อถามว่าถ้าหายดีแล้วจะไปหาหลวงตาจันทร์ ที่วัดบ้านน้ำมุด ไหม ผมต้องไปแน่นอน ที่ผมรอดชีวิตมาได้ในครั้งนี้เพราะบารมีหลวงตาจันทร์ ที่ท่านช่วยผม แม่บอกว่าจะให้ผมบวช ผมก็ตั้งใจอยากบวชสักพักก่อนครับ
ขณะที่นายรวยและนางสมจิตร วังคีรี 2 สามีภรรยา เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวด้วยรอยยิ้มว่า รู้สึกดีใจมากที่ลูกชายปลอดภัย ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่และเพื่อนบ้านทุกคนที่ช่วยออกติดตามหา ลูกชายของตนตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่พบตัว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ตนเองเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าเป็นเรื่องของความอาถรรพ์ของบ้านเขาพระอินทร์ ไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดกับครอบครัวของตนเอง ที่สำคัญการที่ลูกชายตนเองกลับมาได้อย่างปลอดภัยเป็นพระบารมีของหลวงตาจันทร์ วัดบ้านน้ำมุด ที่ท่านเมตตามาช่วยทำพิธี เพราะหลังจากที่ญาติที่อยู่บ้านน้ำมุด พาหลวงตามาทำพิธีบริเวณไร่มันสัมปะหลัง ที่เกิดเหตุได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ว่าพบลูกชายที่บ้านภูเตย
ซึ่งก่อนหน้าจะเดินทางกลับหลวงตาจันทร์บอกกับทุกคนว่า ไม่ต้องออกค้นหาหรอก เพราะทุกคนเหนื่อยมามากแล้ว ภายในวันนี้เดี๋ยวเขาก็ออกมาเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากๆ โดยช่วงหนึ่งระหว่างทำพิธี ทุกคนที่อยู่ในพิธีได้ยินเสียงหลวงตาจันทร์พูดกับใครก็ไม่รู้ว่าให้ปล่อยตัวลูกชายของตนเองมา ถ้าไม่ปล่อยจะได้เห็นดี พร้อมกันนั้นหลวงตาได้ท่องคาถาซึ่งน่าจะเป็นภาษาเขมร””เสียงนายรวย นางสมจิตร
ชาวบ้านที่นี่ทุกคนเคารพและศรัทธาในตัวหลวงตาจันทร์ โดยใครที่มีเรื่องเดือดเนื้อ ร้อนใจ ก็มักจะไปหาหลวงตาจันทร์ ที่วัดบ้านน้ำมุด หลวงตาก็จะเมตตาให้ความช่วยเหลือ และครั้งนี้ไม่ใช้ครั้งแรกที่หลวงตาช่วยคนที่หายไปแบบน้องบิน เมื่อก่อนเคยมีเด็กในหมู่บ้านอื่นหายไป 2-3 วัน ก็ได้หลวงตาไปช่วยทำพิธีจนเด็กกลับมาได้อย่างปลอดภัย
ซึ่งในเย็นวันนี้ที่บ้านนายบิน นายรวยและนางสมจิตร และเพื่อนบ้านเตรียมจัดงานฉลองที่ลูกชายกลับบ้านมาอย่างปลอดภัย อีกทั้งเป็นการเลี้ยงขอบคุณเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครฯ รวมทั้งเพื่อบ้านทุกคนที่ช่วยออกตามหาลูกชายตลอด 5 วัน ที่หายตัวไป