"CEO สาวไทยบ้านทีวี" พร้อมทนายตั้ม เข้ายื่นหนังสือให้ผู้ว่าฯบึงกาฬ สั่งเอาผิดลงโทษทางวินัย "ผู้ใหญ่บ้านคนสวย" แย่งสามี
18 ม.ค. 2565, 07:09
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 17 ม.ค. 65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ด้านหน้าศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ นางมนธิรา มูลกระแสน อายุ 43 ปี ประธานกรรมการผู้มีอำนาจและเป็นผู้บริหารของบริษัท ไทบ้านทีวี จำกัด หรือ CEO สาวไทยบ้านทีวี จำกัด พร้อมทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อเยาวชนและสังคม ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ นายสนิท ชาวสะอาด ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เพื่อให้ดำเนินสอบสวนความประพฤติของผู้ใหญ่บ้านนาโซ่ หมู่ที่ 9 ตำบลหอคำ อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ โดยมีใจความในหนังสือว่า เนื่องจากมีความประพฤติทำให้ข้าฯ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายทางซื่อเสียงเกียรติคุณ กล่าวคือ
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวผู้ใหญ่บ้านนาโซ่ หมู่ที่ 9 ตำบลหอคำ อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ เป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปว่านางสาวรัชนิกุล บุญโนนแต้ อายุ 33 ปี ผู้ใหญ่บ้านนาโซ่ หมู่ที่ 9 ตำบลหอคำ เป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วไปตามข่าวว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านที่สวยที่สุดในประเทศไทย ข้อเท็จจริงนี้เป็นทราบกันโดยทั่วไป และนางสาวรัชนิกุล บุญโนนแต้ยังเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าให้แก่สินค้าของ บริษัท รักแท้เอนเตอร์เทนเม้นท์ จำกัดอีกด้วยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวข้าพเจ้า ข้าฯขอเรียนว่า ข้าฯเป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจและเป็นผู้บริหารของบริษัท ไทบ้านทีวี จำกัด อยู่กินฉันท์สามีภรรยากับนายคทาธร พิลาพงษ์ ร่วมกันประกอบธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นที่รู้จักของคนไทยทั้งประเทศ โดยมีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือ ด.ช.ธรคทา พิลาพงษ์ ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ที่บ้านเลขที่ 160 หมู่ 10ตำบลปากคาด อำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ ต่อมาเมื่อประมาณวันที่ 8 มกราคม 2565 ข้าฯได้รับข่าวจากทางสื่อออนไลน์ว่า นายคทาธร พิลาพงษ์ สามีของข้าฯ ได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวรัชนิกุล บุญโนนแต้ ครั้งแรกช้าฯ ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้เพราะช้าฯ กับนายคทาธร พิลาพงษ์และบุตยังใช้ชีวิตด้วยกันอย่างปกติสุข ข้าฯ จึงเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฎว่าทั้งสองคนได้ตกลงอยู่กินด้วยกันและจดทะเบียนสมรสกันจริง
จากการที่นางสาวรัชนิกุล บุญโนนแต้ ได้ตกลงอยู่กินฉันท์สามีภรรยาและจดทะเบียนสมรสกับนายคทาธร พิลาพงษ์ ทั้งที่ทราบดีว่าข้าฯ อยู่กินฉันท์สามีภรรยากับนายคทาธร พิลาพงษ์ และใช้ชีวิตเป็นครอบครัวอยู่บ้านหลังเดียวกัน ทั้งยังมีบุตรด้วยกัน ทำให้ข้าฯ ได้รับความเสียหายทางชื่อเสียงเกียรติคุณเนื่องมาจากการกระทำของนางสาวรัชนิกุล บุญโนนแต้ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นทราบเป็นอย่างดี ดังนั้นการที่นางสาวรัชนิกุล บุญโนนแต้ เข้ามายุ่งเกี่ยวฉันท์ชู้สาวกับนายคทาธรพิลาพงษ์ และถึงขั้นพากันไปจดทะเบียนสมรส ทั้งที่ทราบดีอยู่แล้วว่าข้าฯ กับนายคทาธร พิลาพงษ์ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในบ้านหลังชายคาเดียวกัน ถือว่านางสาวรัซนิกุล บุญโนนแต้ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐมีความประพฤติที่เสื่อมเสียไม่เหมาะที่จะดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่ อันเป็นตำแหน่งที่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีต่อประซาชนด้วยหนังสือฉบับนี้ข้าฯ จึงกราบเรียนขอให้ท่านตรวจสอบสอบสวนข้อเท็จจริงให้ได้ความกระจ่างว่าเป็นอย่างที่ข้าฯ ได้กราบเรียนแล้วข้างต้นหรือไม่ หากเป็นอย่างที่ข้าฯ ได้กราบเรียนถือว่านางสาวรัชนิกุล บุญโนนแต้ ฐานะผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ประพฤติผิดวินัย จึงขอให้ท่านมีคำสั่งลงโทษตามระเบียบวินัยของทางราชการต่อไป ลงชื่อ นางมนธิรา มูลกระแสน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หนังสือฉบับนี้นางมนธิราและทนายตั้ม ได้ให้ผู้สื่อข่าวดูที่ด้านข้างโรงจอดรถศูนย์ราชการและให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่มารอทำข่าวหลายสำนักทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ก่อนจะเข้ามายื่นหนังสือร้องเรียน โดยมี นายชัยณรงค์ สุระดะนัย ป้องกันจังหวัด นายโสภณ กิตติพะวงษ์ ผอ.ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบึงกาฬ ออกมารับหนังสือก่อนที่ ผู้ว่าจะมอบหมายให้ นายนภดล จอมเพชร ปลัดจังหวัดลงมารับเรื่องแทน เนื่องจากติดประชุมด่วน ซึ่งผู้ร้องต้องการให้สอบสวนเอาผิดทางวินัย ที่ผู้ใหญ่บ้านคนสวยคนดังประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งปลัดจังหวัดได้กล่าวตอบว่าต้องสอบสวนข้อเท็จจริงตามระเบียบของทางราชการเสียก่อนว่า ผู้ใหญ่บ้านทำผิดระเบียบวินัยถึงขั้นไหน หลังจากนั้นจึงจะสั่งลงโทษเอาผิดได้ และรับปากว่าจะสอบสวนให้กระจ่างให้เร็วที่สุดและจะแจ้งให้ผู้ร้องให้รับทราบตามหนังสือร้องเรียนมา
จากนั้นนางมนธิราและทนายตั้มได้เดินทางไปพบ ร.ต.อ. วิษณุชัย คารมณ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองบึงกาฬ เจ้าของคดีหลังผู้ใหญ่เหมียวเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ข้อหาผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เบื้องต้นจากการพูดคุยราวครึ่งชั่วโมง พนักงานสอบสวนยังไม่แจ้งข้อหาใดๆ ต้องเรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาสอบปากคำอีกครั้ง ว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเข้าข่ายความผิดใดหรือไม่และจะได้นำสำนวนเสนอต่อผู้บังคับบัญชา ตามลำดับชั้น จึงจะเรียก คุณมนธิรามารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป หากพบมีความผิดตามที่ผู้กล่าวหามาแจ้งความเอาไว้
ก่อนหน้านี้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนางมนธิรา CEO สาวไทยบ้านทีวี ว่าเหตุใดจึงไม่ยอมจดทะเบียนกับอดีตสามี คือนายแม็ค รักแท้ไทยนิยม หรือนายคทาธร พิลาพงษ์ อายุ 45 ปี อดีตนักร้องลูกทุ่งดังที่หันมาทำธุรกิจสื่อโฆษณาและขายอาหารเสริม ซึ่งได้เคยรบเร้าขอจดทะเบียนสมรสมาตลอด เพื่อเป็นการยืนยันความมั่นคงของความรักและธุรกิจที่ทำร่วมกัน ตามที่นายแม็คเคยชี้แจงกับสื่อตามข่าวที่ผ่านมา นางมนธิราไม่ยอมตอบตรงๆ ในเรื่องนี้ แต่ก็ได้ยืนยันว่าได้เลิกกับสามีฝรั่ง คือนายเปาโล ชาลวาตอเร่ ชาวอิตาเลี่ยน วัย 70 ปีแล้วเมื่อ 15 ปีก่อน ซึงในสารบบทะเบียนสมรสของอิตาลี่จะไม่มีว่าทั้ง 2 คนเป็นสามีภรรยากันแล้ว ให้ไปเช็คดูในสถานทูตอิตาลี่ได้ แต่ในทะเบียนประวัติทะเบียนบ้านของไทยอาจยังไม่ได้มีข้อมูลนี้ แต่เมื่อผู้สื่อข่าวลองตรวจเช็คดูตามที่ CEO สาวกล่าวอ้าง ก็พบว่ายังมีทะเบียนสมรสด้วยกันกับสามีชาวอิตาเลียนคนนี้อยู่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทั้งนางมนธิราและนายแม็คไม่สามารถจดทะเบียนซ้อนกันอีกก็เป็นได้
ส่วนคลิปเสียงที่ตกลงกันระหว่างนางมนและนายแม็ค เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2564 ที่ได้ทำสัญญาข้อตกลงกันมีใจความว่า นับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปเราสิ้นสุดขาดความเป็นสามีภรรยากันตามเอกสารที่ทำขึ้นมา โดยทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะไปก้าวล่วงหรือหึงหวงกันและกัน ใครจะทำอะไรก็ได้แล้วแต่คุณ จะคบหาแต่งงานใหม่ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนไป หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำธุรกิจรุ่งเรืองหรือเป็นอะไรก็แล้วแต่จะไม่มารบกวนหรือว่ามาเรียกร้องสิทธิ์อะไรใดๆ กับอีกฝ่ายหนึ่ง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อย่ามาอ้างว่านี่คือสินสมรสร่วมสร้างด้วยกันมา ไม่มีการทำร้ายร่างกายกันและกัน หากใครนำใครเข้ามาอยู่ในบ้านก็เป็นสิทธิ์ซึ่งได้แบ่งแยกกันแล้ว จะไม่ก้าวล่วงด้วยกริยาวาจาท่าทาง แล้วก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตามปกติ หากมีปัญหาทางธุรกิจก็ปรึกษาได้ ถือว่าวันนี้พูดกันด้วยดีเขียนเป็นเอกสารแล้วก็ลงนามรับทราบด้วยกันต่อหน้าพยาน ซึ่ง CEO สาวกล่าวยอมรับว่าเป็นเสียงของตัวเองจริง แต่ที่พูดไปก็ด้วยมีอารมณ์ประชดประชันสามี ถ้าไม่ทำก็จะถูกทำร้ายทุบตีเป็นประจำ แต่ไม่เคยไปแจ้งความเนื่องจากไม่ต้องการให้ใครมารับรู้เรื่องราวแบบนี้ และเรื่องแบ่งสมบัติก็พูดกันบ่อยหลังจากมีเรื่องทะเลาะกัน ซึ่งพวกเราถือว่าเป็นเรื่องปกติภายในครอบครัว.