"หนุ่มแต่งกายคล้ายตำรวจ" ลักทรัพย์ร้านขายส่ง เจ้าของสูญเงินนับล้านบาท
30 ม.ค. 2565, 09:21
จากกรณีเพจ อยากดังเดี๋ยวจัดให้รีเทิร์น part 3 จากผู้ที่โพสต์ใช้ชื่อว่า “ซุ้ม ก้าวเจริญ” โพสต์มีใจความว่า ตามแชร่ให้ทัน ตอนเด็กไม่ตั้งใจเรียน โตมาถึงต้องมาแอบอ้าง มาแต่งกายเสียนแบบ จนท.ตร.หลอกชาวบ้าน ชาวบ้านบึงกาฬ สุดทน หนุ่มใหญ่ กลางวันแต่งกายคล้ายตำรวจ ออกตรวจฉี่ รีดไถเงิน กลางคืนแอบย่องขโมยของในโรงงาน ขโมยของไปแล้วนับล้านบาท ผู้เสียหายเข้าแจ้งตำรวจแล้วแต่ตำรวจจับไปแล้วก็ปล่อยออกมา
จากข่าวตามเพจดังกล่าว เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 28 ม.ค.ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ร้านมูนาโชคบุญมา ค้าส่ง ที่ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 279 หมู่ที่ 1 บ้านโนนสมบูรณ์ ต.โนนสมบูรณ์ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ เพื่อพบกับ นางโสภิดา แก้วก่า อายุ 45 ปีและนายมนูศักดิ์ วงศ์กาฬสินธ์ อายุ 47 ปี สองสามีภรรยาเจ้าของร้านค้าส่ง โดยนางโสภิดา ได้เล่าให้กับผู้สื่อข่าวฟังว่า เมื่อประมาณ 2 ปีผ่านมา ได้มีนายอนุชา ซิมเต็ง อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 156 หมู่ที่ 11 ต.บึงกาฬ อ.เมืองบึงกาฬ ได้มารับสินค้าจากร้านไปขายต่อ ช่วงแรกๆ ก็ส่งเงินไม่ขาด คือรับสินค้าออกไปเช้าวพอเย็นก็มาจ่ายเงิน แต่มาระยะหลังนำสินค้าไปขายแล้วไม่นำเงินมาจ่าย ทวงถามหลายครั้งก็บ่ายเบี่ยง รวมเงินที่ค้างประมาณ 60,000 บาท จึงไม่จ่ายสินค้าให้ไปขายอีก ซึ่งต่อมาพบว่าสินค้าที่อยู่ในโกดังหลังบ้านมักขาดหายไปบ่อย จึงเปิดกล้องวงจรปิดดู พบว่ามีคนแอบมาขโมยเอาไปหลายครั้งในเวลากลางคืน ส่วนมากจะเป็นสินค้าที่มีราคามากหน่อย เช่น แบรนด์ ไฟแช็ค จึงได้ตั้งหน้ารอจับโจรที่มาขโมยสินค้าไปขาย กระทั่งคืนวันที่ 23 ม.ค.คนร้ายก็เข้ามางัดเข้าไปขโมยเอาสินค้าในโกดังอีก จึงได้โทรแจ้ง 191 ให้มาช่วยจับคนร้าย แต่คนร้ายก็ไหวตัวหลบหนีไปได้
<
ด้าน พ.ต.อ.วิชยานนท์ นิติกูล ผกก.สภ.เมืองบึงกาฬ ได้ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากนายมนูศักดิ์ วงศ์กาฬสินธ์ ผู้เสียหายได้มาแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ว่ามีเหตุคนร้ายเข้าไปในโกดังเก็บสินค้าหลัง หจก.มูนาโชคบุญมา เลขที่ 299 หมู่ 1 ต.โนนสมบูรณ์ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ แล้วลักเอาลังไฟแช็คบรรจุจำนวน 1,000 อัน จำนวน 4 ลัง แบรนด์ซุปไก่สกัดบรรจุจำนวน 6 แพ็ค จำนวน 6 ลัง ได้ประสานกับ พฐ.จังหวัดบึงกาฬ แล้วร่วมกันเดินทางไปที่เกิดเหตุเพื่อดำเนินการเก็บวัตถุพยานในที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน และเมื่อวันที่ 22 ม.ค.สอบปากคำผู้เสียหายและพยานแล้วทราบว่า คนร้ายคือนายอนุชา ชิมเต็ง จึงได้เรียกผู้ต้องหาให้มาพบแต่ไม่สามารถส่งหมายได้เนื่องจากผู้ต้องหาไม่ได้อาศัยอยู่ตามภูมิลำเนาที่ปรากฎตามหมาย
แต่เมื่อวันที่ 24 ม.ค ผู้เสียหายได้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อร้องทุกข์ว่านายอนุชาฯ ได้เข้าไปก่อเหตุลักทรัพย์ในที่เกิดเหตุอีกครั้ง แต่ผู้เสียหายรู้ตัวจึงไม่ได้ทรัพย์นั้นไปและได้หลบหนี จึงได้ตรวจที่เกิดเหตุอีกครั้ง จากนั้นจึงได้แจ้งชุดสืบสวนให้ทำการสืบสวนเพื่อติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี และต่อมานายอนุชาฯ ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวน จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและได้สอบปากคำเบื้องต้นไว้แล้ว ซึ่งนายอนุชาฯ ให้การรับสารภาพว่าตามวันเวลา และสถานที่เกิดเหตุข้างตันนั้น ตนได้เข้าไปลักทรัพย์จริง จึงแจ้งข้อหาว่า ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยการทำลายสิ่งกีดกั้น โดยใช้ยานพาหนะ ซึ่งมีโทษเกินกว่า 5 ปี เนื่องจากนายอนุชาฯ ไม่มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนีและมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จึงไม่ใด้ควบคุมตัวไว้และนัดหมายให้มาพบพนักงานสอบสวนตามกำหนดนัดระหว่างการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ หลังจากนั้นนายอนุชาฯ และผู้เสียหายได้มีการเจรจาเพื่อขอชำระชดใช้กันทางแพ่ง ส่วนทางอาญาจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตามกฎหมายและขั้นตอนการสอบสวนแล้ว ไม่มีเจตนาที่จะปล่อยปละละเลย ทำให้คดีล่าช้าหรือดำเนินการในส่วนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด และได้แจ้งความคืบหน้าให้ผู้เสียหายทราบเป็นระยะ หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป.