เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



สธ. เผย! ผู้ป่วยโควิดอาการน้อยใช้ “ฟาพิราเวียร์” ได้ผลดีกว่ากลุ่มไม่ใช้ ถึง 47%


19 มี.ค. 2565, 16:48



สธ. เผย! ผู้ป่วยโควิดอาการน้อยใช้ “ฟาพิราเวียร์” ได้ผลดีกว่ากลุ่มไม่ใช้ ถึง 47%




เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2565 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าว “ประโยชน์ของการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ว่า ขณะนี้ไทยยังมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก เดิมที่เป็นโรคอุบัติใหม่ และมีการระบาดอย่างกว้างขวาง ในฐานะแพทย์ก็ต้องหาทาง หายามารักษาผู้ป่วย ช่วงแรกปี 2563 ตอนนั้นยังไม่รู้จักโรคดี ยังไม่มียารักษา เพราะเป็นโรคใหม่ ทางการแพทย์ จึงพยายามนำยาต้านไวรัสต่างๆ ที่ผ่านการรับรองเดิมมาใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด ซึ่งทฤษฎีกลไกยับยั้งไวรัสได้ และพบว่า ผู้ป่วยหลายรายมีอาการดีขึ้น จนระยะหลังพบยาฟาวิพิราเวียร์ ที่ขึ้นทะเบียนกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไทย ในการรักษาไข้หวัดใหญ่ ก็ทำให้ผู้ป่วยหลายรายอาการดีขึ้น รวมทั้งสามารถหายามารักษาในไทยได้

นพ.โอภาส กล่าวว่า หลักการนำยามารักษาผู้ป่วย คือมีประสิทธิภาพดี ไม่มีผลข้างเคียง และมีความเหมาะสมกับผู้ป่วยนั้นๆ แต่ในเชิงที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก สิ่งที่ต้องพิจารณาต้องมีมากขึ้น นอกจากเรื่องประสิทธิภาพ คือศักยภาพการให้บริการ ดังนั้น หากยารักษาสามารถทำให้ผู้ป่วยหายได้ ดีกว่าไม่ให้ยาอะไรเลย สัก 30-40% ถือว่าดีมากแล้ว แต่ที่สำคัญต้องปลอดภัย ไม่ทำให้ผู้ป่วยอาการแย่ลง อีกทั้ง การให้ยาผู้ป่วยจำนวนมาก ต้องคำนึงถึงสถานการณ์การระบาด ความสามารถในการจัดหา ซึ่งพบว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นยาที่เราสามารถหามาได้ และจากการศึกษาเบื้องต้น จากประสบการณ์การรักษาของแพทย์ พบว่า ยานี้ทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง รักษาแต่เนิ่นๆ โอกาสอาการกลับไป รุนแรงก็ลดลง จากนั้น เราก็มีการรวบรวมข้อมูล ประเมินมาโดยตลอด จนถึงขณะนี้เรามีการประชุมพิจารณาไปแล้วกว่า 400 ครั้ง

นพ.โอภาส กล่าวว่า การวิจัยการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ทำร่วมกันในทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนแพทย์ เป็นต้น โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกผู้ป่วย 62 ราย และกลุ่มที่ 2 จำนวน 31 ราย ซึ่งกลุ่มแรกได้รับยาตามสูตรมาตรฐานปกติที่รักษาผู้ป่วย คือ ขนาด 1,800 มก. วันละ 2 ครั้งในวันที่ 1 ต่อด้วยขนาด 800 มก. วันละ 2 ครั้งในวันต่อมา ส่วนกลุ่มที่ 2 ไม่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ โดยผู้ป่วยในโครงการจะได้รับยาเฉลี่ย 1.7 วันหลังเริ่มมีอาการป่วย พบว่า กลุ่มที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ มีอาการดีขึ้น 79% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยาที่อาการดีขึ้นเพียง 32% ดังนั้น 2 กลุ่มนี้ จะเห็นว่าการให้ยาทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทำให้คณะผู้วิจัยมีความมั่นใจว่ายาฟาวิฯ ทำให้อาการดีขึ้น ทั้งนี้ จึงได้ข้อสรุปว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ที่ให้วันละ 1,800 มก.วันละ 2 ครั้งในวันแรก และต่อด้วยขนาด 800 มก.วันละ 2 ครั้งในวันต่อมานานอีก 4 วัน เป็นยาที่ควรเริ่มเร็วและช่วยลดอาการป่วยได้ กรณีผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงได้อย่างมีนัยสำคัญกว่าการไม่รับยา

“ที่สำคัญ ที่ผ่านมาเรารักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์ กับผู้ป่วยไปเป็นล้านคนแล้ว จึงขอยืนยันขอให้เชื่้อมั่นในยาที่ใช้รักษา ขอความกรุณาอย่าด้อยค่ายาที่รักษา เราเคยมีปัญหาด้อยค่าวัคซีน ทำให้หลายคนเสียโอกาสการรับโอกาส บางคนกลัวการรับวัคซีน จนหลายรายน่าเสียใจเสียชีวิตจากการไม่ได้รับวัคซีน” นพ.โอภาส กล่าว



ด้าน นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้การรักษาโควิด-19 มีการติดตามข้อมูล และมีการปรับแนวทางการรักษาเป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับยาตัวที่ 1 ยาฟาวิพิราเวียร์ มีการใช้มา 2 ปี กลไลการออกฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ RNA ไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสเปลี่ยนแปลงไป ข้อมูลล่าสุดพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ มีอาการดีขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยา โดยเฉพาะใน 14 วันสัดส่วนอาการดีขึ้นอยู่ที่ 86.9% ขณะที่ ยาตัวที่ 2 เรมดิซิเวียร์(Remdisivir) กลไกออกฤทธิ์ตำแหน่งเดียวกับฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งช่วงแรกองค์การอนามัยโลก ยังไม่ได้รับรอง กระทั่งมีการใช้ระยะหนึ่งทางอย.สหรัฐฯ ได้ให้การรับรองใช้ยาตัวนี้สำหรับการรักษาในภาวะฉุกเฉิน โดยให้ทางหลอดเลือดดำ ซึ่งมีประโยชน์กับผู้ที่ทานยาไม่ได้ มีปัญหาการดูดซึม และใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ โดยเมื่อศึกษาวิจัย พบว่า ผู้ป่วยมีอาการลดลง นอน รพ.ลดลงเหลือ 10 วันเมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับยาหลอกต้องนอนรพ. 15 วัน

นพ.มานัส กล่าวต่อว่า สำหรับยาตัวที่ 3 เป็นยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) กลไกการออกฤทธิ์จุดเดียวกัน และลดความเสี่ยงจะเกิดอาการรุนแรง ขนาดยารับประทานสำหรับผู้ใหญ่ 800 มก. คือ แคปซูลขนาด 200 มก. จำนวน 4 แคปซูล โดยให้รับประทานทุก 12 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 วัน รวม 40 แคปซูลต่อคน ซึ่งยาตัวนี้ต้องให้ภายใน 5 วันหลังได้รับการวินิจฉัยเริ่มมีอาการ และ ตัวที่ 4 คือ ยาแพกซ์โลวิด(Paxlovid) กลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกัน จะออกที่เอนไซม์ ทำให้เชื้อลดจำนวนลง ไม่สามารถเกิดผลกับโรคได้ โดยยาตัวนี้ประกอบด้วยยา 2 ชนิด คือ Nirmatrelvir และ Ritonnavir ทำให้ลดความเสี่ยง 88% กรณีให้ภายใน 5 วันหลังมีอาการ ที่สำคัญยาตัวนี้พบว่ามีประสิทธิภาพสูงสุด จึงได้มีการสำรองยาตัวนี้ โดยกลางเดือนหน้าจะนำเข้า และกระจายในลำดับถัดไป

“จากการติดตามการใช้ยามาระยะหนึ่ง จุดสำคัญพบว่า ยาแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน อย่าง เรมเดซิเวียร์ เป็นยาช่วยในกลุ่มที่มีอาการปานกลาง สามารถให้ได้ทางหลอดเลือดดำ และหญิงตั้งครรภ์ รวมทั้งกลุ่มมีปัญหาการดูดซึมหรือการทาน ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ ยังมีประโยชน์ และให้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ส่วนยา 2 ตัวที่เหลือเป็นยารับประทาน เป็นยาใหม่สำหรับหญิงตั้งครรภ์ และการให้นมบุตร นอกจากประสิทธิภาพและความปลอดภัย จุดสำคัญคือ ความพร้อมในการใช้ยา หรือการจัดหายา และราคายาต้องคำนึงภาพรวมด้วย ซึ่งมีคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการรักษา โดยมีการติดตามค่าใช้จ่ายในแต่ละราย ยกตัวอย่าง ยาฟาวิพิราเวียร์ กระบวนการรักษา 1 คอร์สประมาณ 800 บาท ส่วนเรมเดซิเวียร์อยู่ที่ 1,512 บาท ส่วนยาใหม่ 2 ตัว ทั้งโมลนูพิเราวียร์ และแพกซ์โลวิด ณ ปัจจุบันยังอยู่ที่คอร์สละประมาณ 10,000 บาท” นพ.มานัส กล่าว


นพ.มานัส กล่าวต่อว่า การได้มาของแนวทางการรักษา จะมีการปรับเปลี่ยนตามหลักฐานเชิงประจักษ์ ซึ่งมีการประชุมของผู้เชี่ยวชาญตลอด โดยล่าสุดมีการปรับปรุงไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มี.ค.2565 แต่ในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุม และอาจมีการปรับปรุงแนวทางการรักษา ซึ่งมีการจำแนกความรุนแรงของโรค ยาตัวเลือกที่มีให้ใช้ การรักษาตามอาการ รวมทั้งฟ้าทะลายโจร นอกจากนี้ ข้อมูลจากโครงการ “เจอ แจก จบ” ก็มีการใช้ยา 3 สูตร โดยทั้งการรักษาตามอาการพบสัดส่วน 52% ส่วนการใช้ยาฟ้าทะลายโจร 24% และการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ 26% ซึ่งตรงนี้เป็นข้อมูลจากเขตสุขภาพที่ 4 เขตสุขภาพที่ 5 และเขตสุขภาพที่ 6 ขอย้ำว่า กระทรวงสาธารณสุขทำงานกันเป็นทีม มีการติดตามประเมินการติดเชื้อ การใช้ยา ประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

เมื่อถามถึงกรณี นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นฟ้องเรื่องการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ จะส่งผลต่อความเชื่อมั่น จนทำให้ผู้ป่วยเลือกรับยาหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบรายละเอียดว่าฟ้องในลักษณะใด แต่ก็สามารถทำได้ตามสิทธิของหลักรัฐธรรมนูญ แต่ในฐานะแพทย์ต้องนำสิ่งที่ดีที่สุดมารักษาผู้ป่วย ย้ำว่าโควิดเป็นโรคใหม่ ระยะแรกที่ยังไม่มีข้อมูลว่ายาใดรักษาได้ผล แต่เรามีข้อมูลเชิงทฤษฎีว่ายาบางตัวยับยั้งไวรัสได้ ก็ต้องนำมารักษาผู้ป่วยพร้อมทำวิจัยการใช้ยานั้นๆ เป็นข้อดีที่เราสามารถพัฒนาข้อมูลมาใช้ในประเทศได้

“ยืนยันว่ากระทรวงฯ คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องของการเลือกรับ ต้องเรียนว่าเวลาไปหาแพทย์ คือการไปหาผู้เชี่ยวชาญ ต้องมีการคุยกัน โดยแพทย์จะวินิจฉัยโรคว่าควรรับยาอะไร การให้ยาแต่ละบุคคลต้องเลือกให้เหมาะสมกับคนที่มีพื้นฐานต่างกัน เช่น บางคนเป็นเบาหวาน ความดัน ต้องดูแลรายบุคคล ดังนั้น จะอยู่กับความเหมาะสม หากเลือกยาเองแล้วไม่ถูก ก็เป็นอันตรายกับผู้ป่วยเอง” นพ.โอภาส กล่าว






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.