"บิ๊กป้อม" หารือทูตเนเธอร์แลนด์ ย้ำความร่วมมือทุกมิติทั้งระดับทวิภาคี-พหุภาคี
19 พ.ค. 2565, 17:04
วันนี้ ( 19 พ.ค.65 ) เวลา 11.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายแร็มโก โยฮันเนิส ฟัน ไวน์คาร์เดิน (H.E. Mr. Remco Johannes van Wijngaarden) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ โดยสรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีกับเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทยในโอกาสเข้ารับหน้าที่ เชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์และความรู้ความสามารถของเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ จะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยกับเนเธอร์แลนด์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยรองนายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองประเทศอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้พบหารือแม้จะมีภารกิจมาก ยินดีที่ได้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย โดยไทยและเนเธอร์แลนด์มีความร่วมมืออันดีระหว่างกัน โดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งทั้งสองประเทศมีการแลกเปลี่ยนการลงทุนระหว่างกันเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ยืนยันความพร้อมในการสานต่อและเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น ทั้งในด้านการค้าการลงทุน ความร่วมมือสีเขียว และการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ได้ไปเยี่ยมชมเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย และประทับใจการบริหารจัดการของหน่วยงานไทยเป็นอย่างมาก โดยพร้อมผลักดันให้นักลงทุนเนเธอร์แลนด์เข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC มากขึ้น นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ชื่นชมบทบาทที่แข็งขันของไทยในเวทีโลก และการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประเทศที่เดือดร้อน
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือที่สำคัญร่วมกัน ดังนี้ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ไทยกับเนเธอร์แลนด์มีความร่วมมือด้านเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด โดยทั้งสองฝ่ายต่างมีการลงทุนระหว่างกันมากเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มสหภาพยุโรป อย่างไรก็ดี รองนายกรัฐมนตรีเห็นว่าทั้งสองประเทศยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มพูนการค้าและการลงทุนระหว่างกันได้อีกมาก พร้อมทั้งได้เชิญชวนให้นักลงทุนเนเธอร์แลนด์ขยายการลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ตลอดจนเห็นพ้องให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นสาขาที่ทั้งสองฝ่ายผลักดัน นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีขอให้เนเธอร์แลนด์ในฐานะประเทศสมาชิกที่มีบทบาทสำคัญของ EU ช่วยให้การสนับสนุนการฟื้นการเจรจา FTA ไทย – EU ด้วย ซึ่งเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ พร้อมสนับสนุนการฟื้นการเจรจาดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC
ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม การเกษตร และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต่อยอดความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดี ซึ่งเนเธอร์แลนด์มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะประเด็นปัญหาการรุกล้ำของน้ำเค็ม พร้อมทั้งขยายความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพร่วมกัน อาทิ พลังงานทดแทน เทคโนโลยีการเกษตร นวัตกรรม และอาหาร นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ พร้อมสนับสนุนฝ่ายไทยในการจัดตั้งกระทรวงน้ำ โดยเชิญชวนให้ผู้แทนไทยเดินทางไปศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีจากเนเธอร์แลนด์ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติดูแล
ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ รองนายกรัฐมนตรีเชิญชวนเนเธอร์แลนด์ให้เข้ามาลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ตลอดจนเชิญชวนฝ่ายเนเธอร์แลนด์เข้าร่วมงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีด้านการป้องกันประเทศของไทย ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม – 1 กันยายน 2565 ด้านเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ยินดีที่ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการป้องกันประเทศที่ใกล้ชิด และจะร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในสัปดาห์หน้า พร้อมทั้งยินดีสนับสนุนให้มีการถ่ายโอนเทคโนโลยีแก่กองทัพเรือไทย
สำหรับประเด็นความสัมพันธ์อาเซียน-เนเธอร์แลนด์ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่อาเซียนและEU ได้ยกระดับความสัมพันธ์สู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ซึ่งไทยและเนเธอร์แลนด์จะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างเสริมความร่วมมือที่สร้างสรรค์ระหว่างสองภูมิภาค และในฐานะที่ไทยเป็นประเทศผู้ประสานงานด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของอาเซียน ไทยยินดีที่ความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนและวาระสีเขียวเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมของการประชุมสุดยอดอาเซียน - EU ที่จะจัดขึ้นในปีนี้ ณ กรุงบรัสเซลส์ พร้อมเชื่อมั่นว่า การประชุมในครั้งนี้จะนำไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนสีเขียวระหว่างอาเซียนกับ EU