นายกฯ แจงงบฯ ยันรัฐบาลให้ความสำคัญปชช.ทุกวัย-ผู้ด้อยโอกาส
2 มิ.ย. 2565, 17:48
วันนี้ ( 2 มิ.ย.65 ) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (2 มิถุนายน 2565) เวลา 13.50 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงในส่วนของการเปรียบเทียบงบประมาณเพื่อสวัสดิการสังคม มีสมาชิกกล่าวว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับความมั่นคงเกินไป และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นของประชาชน ถ้าดูในรายละเอียดแล้วจะเห็นว่า รัฐบาลมีหลายโครงการที่เป็นพันธกิจโดยตรงของทุกหน่วยงาน และมีงบในการบูรณาการ และหากมีความจำเป็นก็สามารถใช้งบกลางไปเพิ่มเติมได้ หรือแม้แต่งบประมาณที่ผ่านวาระที่ 1 ในวันนี้แล้ว ก็สามารถไปแปลญัตติเข้าไปในขั้นกรรมาธิการเพื่อแปลญัตติ และงบประมาณที่ถูกตีตกทั้งหมดจะกลับมาที่รัฐบาลตามกฎหมาย พ.ร.บ. งบประมาณ ดังนั้น รัฐบาลก็จะพิจารณาที่มีการขอมา ส่วนที่ยังคงขาด ซึ่งครม. จะเป็นผู้อนุมัติ
ในส่วนงบประมาณปี 2566 รัฐบาลให้ความสำคัญกับเด็กในวัยเรียน ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส สวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล โดยหากพิจารณาในรายละเอียดการจัดสรรงบประมาณเพื่อสวัสดิการต่าง ๆ ในงบประมาณปี 2557 มีจำนวนทั้งสิ้น 449,579.5588 ล้านบาท แต่หากพิจารณาข้อเสนอในงบประมาณปี 2566 จะเห็นว่ามีงบประมาณสูงขึ้นถึง 632,582.000 ล้านบาท ซึ่งจากปีงบประมาณ 2557 ถึงปัจจุบัน มีงบประมาณเพิ่มขึ้น 183,002.4412 ล้านบาท โดยจำแนกดังนี้
1. กลุ่มเด็กเล็ก รัฐบาลให้ความสำคัญกับเด็กแรกเกิด จัดสรรงบประมาณสนับสนุนเบี้ยเด็กแรกเกิด (0-6 ปี) ตั้งแต่ 2559 เป็นต้นมา สนับสนุนให้เดือนละ 600 บาท สำหรับครัวเรือนที่บิดามารดามีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 16,321 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 2.58 ล้านคน
2. กลุ่มเด็กวัยเรียน รัฐบาลได้จัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี ตั้งแต่อนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 79,151 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 10.77 ล้านคน รัฐบาลจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา เพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ยากจนและยากจนพิเศษให้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 6,073 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 2.62 ล้านคน
3. กลุ่มผู้สูงอายุ รัฐบาลให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้นจากการที่ประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย โดยมีการสนับสนุนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุช่วง 60-69 ปี จำนวน 600 บาท/คน/เดือน ช่วง 70-79 ปี จำนวน 700 บาท/คน/เดือน ช่วง 80-89 ปี จำนวน 800 บาท/คน/เดือน และช่วง 90 ปีขึ้นไป จำนวน 1,000 บาท/คน/เดือน โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 87,580 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 11.03 ล้านคน ซึ่งสูงกว่างบประมาณปี 2557 ถึง 26,580.2 ล้านบาท ตลอดจนการเพิ่มเป้าหมายในการปรับปรุง ซ่อมแซมบ้านผู้สูงอายุ ให้มีความเหมาะสมและปลอดภัย โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 225 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 10,000 หลัง
4. กลุ่มผู้ด้อยโอกาส รับบาลได้ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านมาตรการลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดค่าก๊าซหุงต้มผ่านบัตรสวัสดิการ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2561 โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 35,515 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 13.45 ล้านคน รวมถึงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย บ้านพอเพียงในชนบท โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 563 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 25,000 ครัวเรือน ปรับปรุงที่อยู่อาศัยเพื่อแก้ปัญหาชุมชนแออัด บ้านมั่นคง ตั้งงบประมาณไว้ 337 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 3,750 ครัวเรือน สำหรับกลุ่มผู้พิการ ตั้งแต่ปี 2563 รับบาลได้เพิ่มเบี้ยยังชีพความพิการ จาก 800 บาท/คน/เดือน เป็น 1,000 บาท/คน/เดือน โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 20,339 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 2.09 ล้านคน
5. กลุ่มสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล รัฐบาลให้ความสำคัญกับระบบประกันสังคม โดยเฉพาะลูกจ้างแรงงานให้เข้าถึงระบบประกันสังคม โดยได้เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีทุพพลภาพ ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จากเดิมไม่เกินร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 70 ของค่าจ้าง เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร ให้ได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรร้อยละ 50 ของค่าจ้าง จาก 90 วัน เป็น 98 วัน โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 48,514 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 23.34 ล้านคน ซึ่งในปี 2557 มีเพียง 12.31 ล้านคน รวมถึงได้ดูแลอสม. หมอประจำบ้าน สำหรับสนุนค่าป่วยการ การดูแลศักยภาพ ให้ดูแลสุขภาพตนเองและชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยได้ปรับเงินค่าตอบแทนจาก 800 บาท/คน/เดือน เป็น 1,000 บาท/คน/เดือน โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 12,614 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 1.05 ล้านคน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าภายใต้งบประมาณที่จำกัด รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะดูแลประชาชนตามช่วงวัย รวมถึงกลุ่มผู้ด้อยโอกาส เพื่อช่วยเหลือให้เข้าถึงสวัสดิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวัสดิการสังคมและจะต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน หากบูรณาการการทำงานได้ก็จักร่วมกันทำงาน ทั้งสนับสนุนภารกิจทั้งหมด เพราะนายกฯ ห่วงใยประชาชนทุกคน
ในเรื่องความมั่นคง กระทรวงกลาโหมต้องการใช้งบประมาณจำกัด เพื่อเกิดความพร้อมรับสถานการณ์ในอนาคต ไม่มีใครรับประกันสถานการณ์ในอนาคตได้ ตอนนี้อาเซียนยังเข้มแข็ง แต่อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ต่างเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา งบประมาณที่วางไว้จึงกำหนดตามความจำเป็น แต่ขอความเห็นใจว่า งบประมาณต้องกำหนดล่วงหน้า เช่นเดียวกับการดำเนินการจัดการซื้ออาวุธ ต้องมีการฝึกการใช้อาวุธ ต้องใช้เวลาในการจัดซื้อพอสมควร ขอความเข้าใจว่าเราจำเป็นต้องซื้อเพื่อต่อระยะสายตา เพราะไม่สามารถซื้อแบบกะทันหันได้ หากติดตามดูจะเข้าใจ ว่าประเทศไทยไม่ได้รับความช่วยเหลือมาระยะหนึ่งแล้ว เราต้องพึ่งการป้องกันตัวเอง ซื้อเท่าที่จำเป็น ในส่วนของการทุจริต มีผลประโยชน์ พร้อมมีการตรวจสอบ เชื่อว่า เจ้าหน้าที่ชี้แจงได้ พร้อมได้รับการตรวจสอบ ขอให้ทำความเข้าใจการปฏิบัติ โดยนายกฯ พร้อมทำความเข้าใจ ไม่ได้โทษใคร ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่ก็ทำงานในการให้ความปลอดภัยทุกคน ขออย่าทำลายขวัญและกำลังใจเจ้าหน้าที่เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง