พ่อแม่เจ็บช้ำ ! เห็น "ลูกชาย อ.1" ถูกเพื่อนจิกหน้า-ลูกตา นอนผวาทั้งคืน ทนไม่ไหวต้องย้ายโรงเรียน
15 มิ.ย. 2565, 16:13
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565 โลกโซเชียลออนไลน์มีการแชร์เรื่องราวของคุณพ่อรายหนึ่ง ที่มาเล่าอุทาหรณ์ เมื่อลูกโดนทำร้าย สุดท้าย...ต้องย้ายโรงเรียน โดยระบุว่า
เราคนนึงก็ไม่เคยคิดว่า เรื่องร้ายๆที่เห็นตามข่าวออนไลน์ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ จะมาเกิดขึ้นกับตัวเอง เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เพื่อเป็นการไม่กระทบกับชื่อเสียงของโรงเรียน และไม่เป็นการกระทบกับตัวบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ก็จะขอสงวนชื่อจริงไว้ทั้งหมดก็แล้วกันนะครับ
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 65 ที่ผ่านมา น้องอยู่ชั้น อ.1 แม่ก็ไปส่งที่โรงเรียนตามปกติ แต่ตอนไปรับกลับบ้าน พบว่าลูกมีรอยบาดแผลบนใบหน้าและรอบๆดวงตาอย่างน่าตกใจ จึงได้สอบถามพี่เลี้ยงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ได้รับคำตอบ ได้คำตอบแต่แค่ว่า เดี๋ยวครูจะติดต่อไป เพราะมีรถผู้ปกครองท่านอื่น รอคิวรับลูกจำนวนมาก
เมื่อแม่ถึงบ้าน ก็ถอดหน้ากากน้อง ถึงกับเข่าอ่อน เพราะบาดแผลที่ใบหน้ามีอีกจำนวนมาก จึงได้ถ่ายรูปลูกส่งให้ครูและสอบถามไปทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นไม่นานครูก็ติดต่อมา เล่าความว่า ครูไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คาดว่าน้องน่าจะเล่นแล้วเกิดการแย่งของเล่นกัน จนเป็นเหตุทะเลาะทำให้เกิดบาดแผล ซึ่งทางเราก็ยังไม่เชื่อว่าจะเป็นเหตุทะเลาะ เพราะโดยปกติน้องไม่แย่งของเล่นกับใคร
เราก็ได้คุยกับครูอีกหลายสาย จึงย้ำไปหลายประเด็น ทั้งเรื่องของตอนเกิดเหตุครูดำเนินการอย่างไร ครูก็แจ้งว่าได้เข้าไปห้ามและตักเตือนเด็กคนนั้นจนน้องร้องไห้ และก็เรื่องว่าผู้ปกครองของเด็กที่ทำน้องทราบหรือยัง ครูก็ได้แจ้งว่าทราบแล้ว และฝากขอโทษมายังเราด้วย เราเลยบอกครูไปว่า แผลขนาดนี้คงฝากขอโทษไม่ได้มั๊งครับ อย่างไรก็ดี เราก็ยังอยากรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น จึงบอกครูไปว่า พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปขอดูกล้องวงจรปิดภายในห้องเรียน
หลังจากนั้น เราก็พาน้องไปโรงพยาบาล ไปทำแผล โรงพยาบาลให้บริการค่อนข้างดีและเข้าใจในเหตุการณ์ จึงตรวจรอยบาดแผลทั้งหมดเก็บไว้เป็นหลักฐานให้เราด้วย จากนั้นเราก็เดินทางไป สน.ทองหล่อ เพื่อบันทึกประจำวันไว้ก่อน แต่ปรากฏว่าคิวเยอะ ก็เลยคิดในใจว่าพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ประกอบกับส่วนเล็กๆในใจที่คิดว่า ลูกเราอาจจะลงมือก่อนก็ได้ เลยยังไม่ดำเนินการใดๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น 31 พ.ค. 65 เราจึงเดินทางไปโรงเรียน ได้พบทั้งครูและผู้บริหารโรงเรียน สิ่งที่เราขอกับทางโรงเรียนก่อนการดูคลิปกล้อง คือ 1) ขอให้สอบถามเด็กให้แน่ใจว่า ทำไมถึงทำเพื่อน เพราะนั่นคือต้นตอของปัญหาที่ควรต้องรู้ แล้วจึงจะไปดำเนินการแก้ไข อบรม สั่งสอนได้ 2) ถ้ายังหาสาเหตุไม่ได้ มาตรการป้องกันเหตุเกิดซ้ำ เราขอก่อนได้มั๊ยให้เด็กคนนั้นย้ายไปเรียนห้องอื่นก่อน เพราะทางเราไม่สบายใจที่จะส่งลูกเราไปแล้ว ต้องมานั่งลุ้นวันต่อวันว่าวันนี้จะโดนอะไรมาอีก 3) ขอให้ทางโรงเรียนเชิญ ผปค. เด็กมาขอโทษเราที่โรงเรียน และมาแสดงความรับผิดชอบ ไม่ใช่การฝากขอโทษทางโทรศัพท์ จากนั้น เราก็ได้ดูคลิป ณ ตอนเกิดเหตุ
ตามเวลาที่บันทึก ช่วง 14:40น. ในขณะที่นักเรียนทุกคนแบกกระเป๋า นั่งเรียงรอกลับบ้านอยู่บนสเต็ปไม้ยาวหน้าห้อง ลูกเราก็นั่งอยู่บนสเต็ปไม้นี้เหมือนกัน แต่อยู่ริมสุดด้านในห้อง ส่วนครูกำลังพานักเรียนออกไปนอกห้อง (ซึ่งครูแจ้งว่า พานักเรียนไปเข้าห้องน้ำ) ส่วนครูพี่เลี้ยงที่ ณ ขณะนั้นมีเพียง 1 คนในคลิป กำลังนั่งถักเปียให้น้องผู้หญิงคนหนึ่งที่กลางห้อง เด็กที่ทำร้ายลูกเราก็เดินผ่านกระดานไปมาหลายรอบ (ผ่านหน้าลูกเราด้วย) และในขณะนั้นเอง ได้มีการหยุดเหมือนนั่งคุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่ติดอยู่กับลูกเรา จากนั้นไม่นาน ก็ลุกขึ้นมาก่อเหตุ โดยเอามือทั้ง 2 ข้าง จิกหน้าลูกเรา โดยเอาเล็บนิ้วโป้งกดไปบริเวณลูกตา ซึ่งลูกเราก็ตกใจ ยกมือขึ้นมาปัดมือน้องที่ก่อเหตุออกหลายครั้ง แต่เด็กคนนั้นก็ยังไม่หยุด เอาทั้ง 10 นิ้วขยี้ลงไปบนหน้าลูกเรา ทำอยู่แบบนี้ซ้ำๆ อยู่กว่า 10 วินาที จนลูกเราลุกขึ้นมาร้องโวยวายร้องไห้ พี่เลี้ยงจึงหันมามอง และจากนั้นไม่นานครูก็เข้ามาพอดี ลูกเราจึงเดินไปหาครู
จากเหตุการณ์ในคลิปสรุปได้ว่า 1) เหตุที่เกิดนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากการทะเลาะกัน ไม่ได้แย่งของเล่นอย่างที่ครูสันนิฐาน ไม่ใช่การกระทำโดยประมาท เป็นความตั้งใจที่จะทำร้ายร่างกาย โดยเน้นไปที่บริเวณส่วนดวงตาและใบหน้า 2) การตักเตือนเด็กผู้ก่อเหตุ ที่ครูบอกว่าได้ทำทันทีหลังจากเห็นนั้น ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง อย่างน้อยก็ในคลิปที่เราเห็น
หลังจากเห็นคลิป เราพูดไม่ออก เราบอกกับทางโรงเรียนว่า เราจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด แต่ในใจก็คิดว่า ถ้าเรื่องมันจบลงด้วยดี ก็จะไม่ดำเนินคดีใดๆ (เราคิดอย่างงี้จริงๆ) แต่ทางโรงเรียนก็ขอไว้ว่า อย่าพึ่งดำเนินคดีทางกฎหมาย ขอให้ทางเราได้ให้โอกาส ผปค. ของน้องคนนั้นมาขอโทษก่อน เราก็ฟังเราจึงยังไม่ดำเนินการใดๆ หลังจากคุยกันเสร็จ ช่วงบ่ายของวันนั้น โรงเรียนก็โทรมาแจ้งว่า ได้นัดกับทาง ผปค.เด็กคนนั้นได้แล้วในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ 1 มิ.ย. 65 เราก็เดินทางไปโรงเรียน ไปคุยกับโรงเรียนและผู้ปกครอง เริ่มมาเราเดินเข้าห้อง ทาง ผปค. ก็ขอโทษทางเรา ยอมรับว่าลูกเค้าลงมือทำจริง ผิดจริง เราก็ฟังๆ แต่เราติดตรงที่เขาบอกว่า มันเป็นเรื่องของเด็กเล่นกัน พอเค้าพูดจบ เราก็เลยถาม คุณได้ดูคลิปแล้วหรือยัง ทางนั้นก็บอกว่าได้ดูแล้ว ผมบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องของการเล่นกัน ลูกผมไม่ได้สนุกด้วย น้องนั่งอยู่เฉยๆ แล้วลูกคุณลุกขึ้นมาทำร้ายเลย มันจะเรียกว่าเล่นกันได้ยังไง ทาง ผปค. เด็กผู้ก่อเหตุ ก็เริ่มอ้างความเป็นเด็ก ขอความเห็นใจ ขอโอกาสน้องให้ไม่ต้องย้ายห้อง เราก็เลยถามกลับไปว่า ลูกผมก็เป็นเด็กเหมือนกัน เขาไม่เคยได้ความเห็นใจจากผู้ก่อเหตุ ไม่เคยได้โอกาสที่จะมาเรียนได้อย่างปลอดภัย เพราะฉะนั้นคุณจะมาอ้างสิ่งเหล่านี้ ผมว่ามันเป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไป เราต้องเอาความจริงมาคุยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร น้องทำไปเพราะอะไร เราจะป้องกันเหตุไม่ให้เกิดซ้ำได้อย่างไร เพราะเหตุมันเกิดขึ้น ความเสียหายบอบช้ำมันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่การไปสรุปส่งๆ ว่าเป็นเรื่องของการเล่นกัน หรือการใช้อารมณ์ เพราะภาพในคลิปมันชัดเจน
เราจึงกลับมาเน้นตรงตรงข้อแรกว่า ได้มีการไปถามเด็กรึยังว่าทำไปเพราะอะไร ทาง ผปค. ของเด็กที่ก่อเหตุ ก็แจ้งว่าได้สอบถามไปแล้ว แต่เด็กก็ไม่ได้ตอบอะไร บอกว่าเคยมีการเล่นกับเพื่อนแบบจับแก้มกัน เราก็สงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวอะไร (เราก็แอบคิดตามนะ คือ ถ้าต้องการจะบอกว่า เพราะว่าก่อนหน้านี้ ลูกผมไปจับแก้มลูกคุณ แล้วลูกคุณโกรธแค้น แล้วมาทำร้าย มันก็เหมือนคิดร้ายกับเด็กรึเปล่า แล้วถ้าคิดว่านั่นเป็นเหตุในการทำร้ายร่างกายครั้งนี้ ก็มาดำเนินการกับทางเราได้เลย หาคลิปมาว่าลูกเราทำ เรายินดีรับฟังและแก้ไขต่อไป) ทางโรงเรียนก็บอกว่า ได้ถามเด็กแล้วแต่เด็กก็ตอบไม่ได้ และเสริมอีกว่า เด็กอายุเท่านี้ ตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้หรอก เราก็เลยสรุปว่า สาเหตุก็ไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร แล้วเราจะป้องกันการเกิดซ้ำได้อย่างไร
ทาง ผปค. ก็เสนอมาว่า จะอบรมสั่งสอนลูกให้ดีขึ้น ไม่ให้น้องไปทำร้ายใครอีก ส่วนทางโรงเรียนก็เสนอมาตรการต่างๆมาดังนี้ จะให้ผู้บริหารฝ่ายอนุบาลนี้ มาดูแลที่ชั้นเรียนบ่อยๆ, จะพยายามแยกให้เด็กอยู่ห่างออกจากกัน, จะให้ครูคนหนึ่งคอยประกบน้องคนนั้นดูพฤติกรรม ผมฟังแล้วก็เลยตอบไปว่า ลูกคุณก็ถูกอบรมสั่งสอนก่อนมาเข้าเรียนอยู่แล้วรึเปล่า แต่วันนี้คุณไม่รู้ว่าลูกคุณทำไปเพราะอะไร แล้วจะสอนเขาเรื่องอะไร ส่วนของทางโรงเรียน ผมก็ถามไปว่า ทั้งหมดที่บอกมา มันป้องกันได้ยังไง ทั้งที่ตอนก่อเหตุ ครูก็พานักเรียนคนนึงไปห้องน้ำ อีกคนก็ถักเปียนักเรียน เด็กใช้เวลา 10 กว่าวินาทีในการก่อเหตุ พวกคุณคิดว่าที่เสนอมา มันป้องกันได้จริงๆใช่มั๊ย ทุกคนในห้องก็เงียบ ไม่มีคนตอบ
ผมก็บอกว่า ข้อเสนอของผม ที่บอกว่า ถ้าวันนี้คุณไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการกระทำของเด็กคนนั้น เราย้ายห้องเค้าไป มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดและเป็นธรรมสุดแล้ว แล้ว ผปค. ฝั่งนั้นก็พูดขึ้นมาประโยคนึง เราฟังแล้วเราต้องสะอึก เค้าบอกว่า ถึงจะย้ายลูกเค้าไปแล้ว คิดว่าลูกเราจะไม่มีโอกาสโดนเด็กคนอื่นทำร้ายหรอ ผมสงสัยมากว่า มีความคิดแบบนี้ออกมาได้ยังไง คือ ลูกคุณผู้ซึ่งทำร้ายลูกผมไปแล้ว กลับบอกว่าจะไม่ทำร้าย แต่ลูกคนอื่นที่เค้าไม่ได้ก่อเหตุ คุณกลับคิดว่าเขามีแนวโน้มว่าจะทำร้ายลูกผม...หรอ?!? สุดท้าย ผปค. นั้นก็ยืนยันว่า จะไม่ย้ายลูกเขาไปห้องอื่น ย้ายไม่ได้เพราะว่าจะส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจของเด็ก ทางโรงเรียนก็เสริมขึ้นมาว่า ทางโรงเรียนเองนั้น ก็ไม่สามารถดำเนินการสั่งย้ายได้เอง ต้องให้ ผปค. เด็กยินยอมก่อน ผมก็คิดในใจ ตอนรับลูกเราเข้ามา เขาไม่เคยถามว่าจะเรียนห้องไหน ก็จัดห้องให้เลย แต่ตอนจะย้าย ดันบอกว่าต้องขอ ผปค.
ในระหว่างที่คุยกันอยู่ ก็มีความพยายามจะตัดบทไปที่การขอโทษ แสดงความรับผิดชอบ จ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่ผมบอกว่า ยังไม่ต้องคุยไปถึงตรงนั้นหรอกครับ ถ้าหากเรื่องมาตรการป้องกันเหตุ สรุปจบแบบไม่มีใครทำอะไรที่ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าลูกผมจะไม่โดนทำร้ายอีก แล้วยังได้ข้อสรุปที่ไม่เป็นธรรมแบบนี้ จะไปคุยเรื่องอื่น มันก็ไม่มีประโยชน์รึเปล่า ก็เลยจบการสนทนาที่ ให้ครูและผู้ปกครองไปคิดกันว่า จะทำยังไง แล้วพุธหน้า 8 มิ.ย. 65 ค่อยมาคุยกันใหม่
จากข้อสรุปทั้ง 2 วันที่คุยมา ทั้งกับทางโรงเรียนและผู้ปกครอง ก็ทำให้เราคิดได้ว่า ถึงจะคุยกันครั้งหน้า ก็น่าจะได้คำตอบแบบเดิมๆ เพราะเรื่องทีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกของน้องที่ต้องนอนผวา ตลอด 4 คืนนับจากวันเกิดเหตุ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยของเด็ก ซึ่งมันควรจะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่เขาควรจะได้รับในสถานที่ ที่เรียกว่าโรงเรียน ความรู้สึกเจ็บช้ำของพ่อแม่ ที่เห็นลูกนอนผวาร้องไห้ตอนกลางคืน พ่อแม่เครียดว่าลูกจะได้รับผลกระทบทางจิตใจขนาดไหน ความรู้สึกเสียใจที่เราเลี้ยงลูกมาไม่เคยมีแผลที่หน้า กลับต้องมามีแผลเป็นจากการกระทำของเด็กคนหนึ่ง ที่ผู้ปกครองของเขา มองมันเป็นเรื่องของการเล่นกัน ความรู้สึกที่ถูกละเลย จากความไม่เป็นธรรม ความไม่เด็ดขาด ในการตัดสินใจของโรงเรียน ทั้งที่เรื่องนี้มันชัดซะยิ่งกว่าชัด ความรู้สึก เศร้า เสียใจ ปนความผิดหวังเหล่านี้ มันเกิดขึ้นกับเฉพาะกับเหยื่อและพ่อแม่ของเด็กก็เท่านั้นเอง
คิดได้แล้วเราไม่รอช้า เราจึงมองหาโรงเรียนใหม่ให้ลูกของเรา ซึ่งก็เริ่มหาตั้งแต่วัน 1 มิ.ย. 65 นั่นแหละครับ ได้ที่เรียนใหม่เป็นที่เรียบร้อยในวันที่ 6 มิ.ย. 65 และเริ่มเรียนในวันถัดไป (เรื่องหาที่เรียนใหม่นี้ ทั้งทางโรงเรียนและผู้ปกครองของเด็กฝั่งนั้นไม่ทราบ)
วันที่ 8 มิ.ย. 65 ตามเวลานัดหมาย เราก็เดินทางไปโรงเรียนอีกครั้ง เพื่อคุยสรุปจบทั้ง 3 ฝ่าย ทุกอย่างก็เป็นไปตามคาดครับ เหมือนเดิมทุกประการ ทั้งมาตรการของโรงเรียน และการไม่ย้ายเด็กผู้ก่อเหตุไปห้องอื่น แล้วได้มีการคุยเรื่องค่าเสียหายกัน แต่เราทิ้งท้ายไว้ว่า เรื่องค่ารักษาพยาบาลก็ต้องทำไปอยู่แล้ว จนครบถ้วนกระบวนการ จนกว่าลูกเราจะหายดี (ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่) ส่วนเรื่องไม่ย้ายห้อง ก็ไม่เป็นไร เราก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ทาง ผปค. ฝั่งนั้นก็บอกว่า เรื่องแค่นี้ ทำไมต้องให้ทำเป็นคดีความ เราก็บอกว่า แพ่งก็ส่วนแพ่ง เจ็บเสียหาย เยียวยา ก็ชดใช้ไป อาญาก็ส่วนอาญา วันนี้ไม่ย้ายห้อง ก็ต้องดำเนินคดีไป ทางนั้นบอกว่า ถ้าดำเนินคดี ค่าชดใช้ต่างๆก็ไปฟ้องเอาล่ะกัน เราก็อ่าว ขู่เราหนินะ ก็โอเคแหละอาญาแล้วคงต้องแพ่งต่อ
จริงๆในเรื่องที่โรงเรียนได้ขอเราไว้ว่าอย่าพึ่งดำเนินการทางกฎหมาย ให้รอฟังเค้าก่อน เราได้บอกโรงเรียนไปก่อนหน้าที่จะมาคุยครั้งสุดท้ายแล้วว่า ถ้าเข้าไม่ตัดสินใจย้ายห้องเรียนไป เราคงไม่มีทางเลือกนะ ซึ่งสุดท้ายก็ได้ทางเลือกนี้จริงๆ และมันมีเรื่องอีกว่า ในวันสุดท้ายนี้ ทาง ผปค. เด็กคนนั้น ได้เสนอว่า ย้ายลูกเขาได้นะ แต่ต้องย้ายลูกเราด้วย เราก็สงสัยในตรรกะแบบนี้มากเลยว่า เพื่อวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ ทั้งที่ย้ายคนเดียว ปัญหาก็จบแล้วรึเปล่า (ตอนที่เขาพูด เราย้ายลูกเราออกไปเรียบร้อยแล้ว)
สรุป สุดท้าย เรื่องที่เกิดขึ้น เราเป็นผู้เสียหาย ไปหาหมอ หมอเฟิร์มให้ทำใจ เป็นแผลเป็นแน่นอน (แต่หมอก็น่ารักมาก บอกจะช่วยสุดความสามารถ พ่อแม่อย่าได้กังวล) เรื่องสุขภาพจิตยังไม่รู้ว่าจะมีผลอย่างไร ก็ต้องดูกันยาวๆ และลูกเราต้องลาออกย้ายโรงเรียน เพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก ส่วนผู้ก่อเหตุ ถ้าทางเราไม่ดำเนินคดี ก็ดูจะไม่เดือดร้อนอะไร ก็เสมือนลูกเราโดนทำร้ายฟรี และโรงเรียน ถึงแม้จะขาดความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการเรื่องที่เกิดขึ้น แต่โรงเรียนก็ได้จ่ายค่าเทอม ชุด ถุงเท้า สมุด หนังสือ กระเป๋าเป้ ถุงนอน คืนเราทั้งหมด (ซึ่งทางเราก็ได้เอาของทั้งหมดไปคืนโรงเรียนแล้วเช่นกัน)
และตอนนี้เราก็ได้ดำเนินการทางอาญาไปแล้ว แจ้งความไว้ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ มีข้อกังวลอยู่หลายข้อด้วยกัน ทั้งเรื่องของพยานที่จะหาไม่ได้ (คงรู้เหตุผลกันนะครับ) หลักฐานภาพกล้องวงจรปิด ก็ต้องรอให้ตำรวจดำเนินการไปก่อน ซึ่งเราจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด (เพราะมีส่วนสำคัญต่อคดีมาก) ส่วนทางแพ่งนั้น ทางเราจะรอให้อาญาเดินไปก่อน เพราะแพ่งที่เกี่ยวกับอาญาอายุความจะเท่าอาญา (ไม่ใช่แค่ 1 ปี นับจากวันเกิดเหตุ)
ป.ล. กับเรื่องที่เกิดขึ้น กับการระทำของเด็กคนนั้น ถ้าเป็นเรื่องเหตุสุดวิสัย เช่น เหตุมาจากการแย่งของเล่น เหตุมาจากการทะเลาะวิวาทกัน เหตุมาจากความประมาท เราคิดว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ให้อภัยกันได้ แต่ในครั้งนี้ ไม่มีใครสามารถตอบได้เลยว่า เหตุนั้นเกิดจากอะไร (แม้กระทั่ง ครู และ ผปค.) สำหรับเราแล้วมันคือ เหตุพ้นสุดวิสัย เมื่อมันเกิดแล้ว การหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก
ป.ล.2 การให้โอกาสโรงเรียนอีกซักครั้งในการดำเนินมาตรการต่างๆตามแจ้ง ส่วนตัวเราคิดว่า เราให้โอกาสได้นะ แต่ต้องเป็นโอกาสที่เราประเมินแล้วว่า เหตุนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก มากกว่าโอกาสที่ลูกเราจะโดนกระทำอีก แล้วเราก็อาจจะไม่มีทางได้รู้เลยก็ได้ ว่าลูกเราโดนกระทำ เราจึงต้องย้ายโรงเรียนเพื่อความสบายใจ
ป.ล.3 คลิปกล้องวงจรปิดเราได้ขอโรงเรียนไปแล้วนะครับ แต่ว่าไม่ได้รับมาซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะเป็นเรื่องของข้อมูลส่วนบุคคล ที่โรงเรียนจะต้องปกป้องไว้สำหรับนักเรียนคนอื่นๆด้วย ถ้าเป็นการดำเนินการทางกฎหมาย ทางโรงเรียนก็จะให้ความร่วมมือนะครับ
ป.ล.4 คนใกล้ชิดเราถามเราว่า การที่เรายอมย้ายโรงเรียนลูก ไม่เป็นการพ่ายแพ้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรอ ผมตอบได้เลยว่า เป้าหมายสำคัญที่เราต้องการในครั้งนี้ ไม่ใช่การเอาชนะ เราเน้นที่ลูกเราเป็นหลัก มันคือการให้ลูกเราได้รับการศึกษาที่ดี มีสุขภาพจิตที่ดี ปลอดภัยดี การย้ายที่เรียนจึงตอบโจทย์ทุกอย่าง และผมก็สบายใจขึ้นมาก ส่วนเรื่องของการปรับตัวคิดว่า คงต้องใช้เวลาและลูกผมคงทำได้...มั๊งนะ ก็ต้องรอดูต่อไปครับ
#เมื่อลูกโดนทำร้าย #ย้ายโรงเรียน #เพราะลูกคือหินก้อนใหญ่สุดในชีวิต
ที่มา : Bright Phark