เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



"หมอธีระ" ยกผลวิจัย! พบ "โอมิครอน" มีปริมาณไวรัสในละอองฝอย สูงกว่าสายพันธุ์อื่น


19 ส.ค. 2565, 11:46



"หมอธีระ" ยกผลวิจัย! พบ "โอมิครอน" มีปริมาณไวรัสในละอองฝอย สูงกว่าสายพันธุ์อื่น




วันที่ 19 สิงหาคม 2565 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความว่า เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 704,879 คน ตายเพิ่ม 1,615 คน รวมแล้วติดไป 598,555,517 คน เสียชีวิตรวม 6,465,456 คน

5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และอิตาลี เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 7 ใน 10 อันดับแรก และ 14 ใน 20 อันดับแรกของโลก จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 83.82 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 63.65

สถานการณ์ระบาดของไทย

จากข้อมูล Worldometer เช้านี้พบว่า จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 13 ของโลก และอันดับ 6 ของเอเชีย แม้ สธ.ไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ 1 พ.ค.จนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปมากก็ตาม 

อัปเดตความรู้โควิด-19 “ปริมาณไวรัสในละออกฝอยจากสายพันธุ์ Omicron” ทีมงานจากมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาปริมาณไวรัสที่ออกมากับละอองฝอยขนาดเล็กและใหญ่ ผ่านทางการไอ จาม ตะโกน หรือร้องเพลง จากผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆ




ข้อมูลเผยแพร่ใน medRxiv เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และในวารสาร Nature เมื่อ 17 สิงหาคม 2565

สาระสำคัญคือ คนที่ติดเชื้อสายพันธุ์ Omicron นั้นจะมีปริมาณไวรัสในละอองฝอยจากน้ำลายน้ำมูกสูงกว่าสายพันธุ๋อื่นๆ อย่างชัดเจน (เป็นเหตุผลที่ทำให้เราเข้าใจได้ว่าระลอกล่าสุดจาก Omicron จึงมีการติดเชื้อกันจำนวนมากกว่าระลอกก่อนๆ) โดยในกลุ่มที่ติดเชื้อ Omicron พบว่า ละอองฝอยขนาดเล็กจะมีปริมาณไวรัสมากกว่าขนาดใหญ่ถึง 5 เท่า

งานวิจัยนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า โควิด-19 นั้นติดเชื้อแพร่เชื้อผ่านทางระบบทางเดินหายใจ การป้องกันตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงที่แออัดและระบายอากาศไม่ดี รวมถึงการปรับสภาพแวดล้อมให้ถ่ายเทอากาศดีขึ้น ถือเป็นหัวใจสำคัญ

“สรุป Long COVID จาก WHO webinar”

องค์การอนามัยโลกเพิ่งจัด webinar ไปเมื่อวานซืน โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากทั้งอเมริกาและยุโรปมาแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้กัน สาระสำคัญที่อยากมาเล่าสู่กันฟังคือ

หนึ่ง คาดประมาณว่า กลุ่มเด็กที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 อายุน้อยกว่า 20 ปีลงมา จะประสบปัญหา Long COVID อยู่ขณะนี้ราว 2.8% (ช่วงความเชื่อมั่น 0.9%-7%) แม้จะดูตัวเลขเปอร์เซ็นต์น้อย แต่หากดูจำนวนจริงที่เกิดขึ้นทั่วโลกก็จะมีปริมาณมาก เพราะเกิดการติดเชื้อจำนวนมาก หากคิดเป็นจำนวนปีที่สูญเสียจากทุพพลภาพ (Years lost due to disability: YLD) พบว่าในปี 2021 Long COVID ในเด็กนั้นสร้างความสูญเสียใกล้เคียงกับโรคลมชัก และออทิสติก

สอง กลุ่มผู้ใหญ่ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปนั้น เพศหญิงประสบปัญหา Long COVID มากกว่าเพศชาย 2 เท่า โดยเพศหญิง 10.6% (ช่วงความเชื่อมั่น 4.3%-22.2%) และเพศชาย 5.4% (ช่วงความเชื่อมั่น 2.2%-11.7%)

สาม น้ำหนักของภาวะทุพพลภาพที่เกิดจาก Long COVID (Disability weight) ที่ใช้ในการประเมินนั้น พอๆ กับภาวะสูญเสียการได้ยิน (complete hearing loss) หรือภาวะบาดเจ็บของสมองอย่างรุนแรง (severe traumatic brain injury)

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข้างต้นประเมินเฉพาะกลุ่มอาการหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ อาการในระบบทางเดินหายใจ ปัญหาด้านสมองเกี่ยวกับความคิดความจำและสมาธิ และกลุ่มอาการอ่อนเพลียเหนื่อยล้า ปวดตามร่างกาย และความผิดปกติด้านอารมณ์ โดยยังไม่ได้นับรวมผู้ป่วย Long COVID ที่มีอาการอื่นที่พบบ่อยและกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น ปัญหาการนอนหลับ ผมร่วง การสูญเสียสมรรถนะการดมกลิ่น เป็นต้น

ดังนั้นตัวเลขที่ประเมินจึงอาจต่ำกว่าความเป็นจริงพอสมควร ข้อมูลข้างต้นสะท้อนให้เราเห็นว่า ปัญหา Long COVID นั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับทั่วโลก ไม่ติดเชื้อย่อมดีที่สุด การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอเป็นเรื่องที่จำเป็น







Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.