ครม.อนุมัติงบกลาง 212.102 ล้าน หนุนถ่ายหนังต่างประเทศในไทย 6 เรื่อง
20 ก.ย. 2565, 16:50
วันนี้ ( 20 ก.ย.65 ) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการสร้างภาพยนตร์ต่างประเทศในราชอาณาจักร จำนวน 6 เรื่อง เป็นเงินงบประมาณรวม 212.102 ล้านบาท
การขอรับจัดสรรงบประมาณครั้งนี้ เนื่องจากกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในการดูแลการดำเนินมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย (Incentive Measures) คงเหลืองบประมาณไม่เพียงพอ เนื่องจากในปี 2565 ได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการนี้จำนวน 167.612 ล้านบาท โดยวงเงินดังกล่าวได้มีการเบิกจ่ายและผูกพันงบประมาณแล้ว 154.940 ล้านบาท และในไตรมาสที่4/65 อีก 7.957 ล้านบาท จึงคงเหลือเงินในโครงการดังกล่าวเพียง 4.715 ล้านบาท ไม่เพียงพอกับการใช้จ่ายเพื่อคืนเงินตามมาตรการส่งเสริมแก่ผู้ถ่ายทำภาพยนตร์ 6 เรื่อง ที่ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น 216.818 ล้านบาท จำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2560 โดยให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้สร้างภาพยนตร์ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป ในรูปแบบการคืนเงิน (Cash Rebate) ร้อยละ 15-20
ตั้งแต่เริ่มโครงการ ได้มีภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยแล้ว 43 เรื่อง เกิดรายได้หมุนเวียนในเศรษฐกิจประมาณ 8,560 ล้านบาท ดำเนินการคืนเงิน Cash Rebate แก่ผู้ประกอบการแล้ว 22 เรื่อง รวม 541.497 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นมาตรการที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศและคุ้มค่า โดยเงินลงทุนจากผู้สร้างภาพยนตร์ทั้งหมดได้กระจ่ายไปยังพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำทั่วประเทศ
ขณะที่ภาพยนตร์ 6 เรื่อง ที่มีการของบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติม 212.102 ล้านบาทในครั้งนี้ ดำเนินการถ่ายทำเสร็จในช่วงปี 2564 เป็นภาพยนตร์จาก สหรัฐฯ 4 เรื่อง ฝรั่งเศส 1 เรื่อง และสิงคโปร์ 1 เรื่อง ทั้งหมดมีกำหนดฉายภายในปี 2565 การถ่ายทำทั้ง 6เรื่อง มีการนำเงินเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย 1,193.84 ล้านบาท มีการจ้างงานทีมงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง 12,000 คน ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจอัตราทวีคูณ รวม 2,384 ล้านบาท