เปิดใจตำรวจ หลังโจ๋เมืองกาญจน์ อ้างโดนต่อย เผยเคยมีเรื่องกัน 2 ปีก่อน พ่อเจ็บหนักเข้ารพ.
10 มิ.ย. 2562, 17:30
จากกรณีคลิปเผยแพร่ออกมาจากเฟซบุ๊ค ของ นาย พรหมมนัส ภูศรี อายุ 27 ปี ว่ามีตำรวจทำร้ายร่างกาย ชกเข้าที่ใบหน้า คลิปที่เผยแพร่มีความยาวประมาณ 5 นาที นาย พรหมมนัส นั้นได้มีปากเสียงกับคู่กรณี ซึ่งบอกว่าตนนั้นเป็นตำรวจ และได้เข้ามาทำร้ายร่างกายตน (ล่าสุด ส.ต.ท.ชนาธิป สอดศรี ผบ.หมู่(ป)สภ.เมืองกาญจนบุรี ออกมาเปิดเผยกับเรื่องที่เกิดขึ้น) ยอมรับว่าเจอกันในร้านจริง
จากกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปผ่านทางเฟสบุ๊ก ที่ใช้ชื่อว่า "MO Midmild" ซึ่งเป็นของ นายพรหมมนัส หรือนายโม ภูศรี ซึ่งคลิปที่เผยแพร่มีความยาวประมาณ 5 นาที โดย นายพรหมมนัส ได้มีปากเสียงกับคู่กรณี และมีการใช้ถ้อยคำรุนแรงกับอีกฝ่าย พร้อมอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาทำร้ายร่างกายตนเอง โดยโพสต์ข้อความว่า "คิดว่าเป็นตำรวจทำอะไรก็ได้เหรอ เพราะมีคนแบบนี้แหละสังคมเลยแย่ #สันดารโจรในคราบตำรวจ"
ล่าสุดวันนี้ 10 มิ.ย.62 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า นายพรหมมนัส หรือนายโม ภูศรี อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17 ซ.เอกชน ภ.แสงชูโต ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ได้เผยกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 00.30 น. ของวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนได้ไปหาเพื่อนที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ถนนริมน้ำหน้าเมืองกาญจนบุรี และบังเอิญพบกับตำรวจกลุ่มหนึ่งที่มานั่งดื่มกินเช่นกัน ซึ่ง 1 ในนั้นเป็นคู่กรณีกับตนมาก่อน เนื่องจากตนเคยมีคดีความกับพ่อของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวจากเรื่องของอุบัติเหตุเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา
เมื่อเจอตนก็เดินเข้ามาล็อคคอตนพร้อมบอกว่าให้ตนไปนั่งไกลๆ ไม่เช่นนั้นจะยิงตน จากนั้นตนก็เลยเดินออกจากสถานบันเทิง แต่ชายคนดังกล่าวก็เดินตามออกมาพร้อมกับเพื่อน ซึ่งเพื่อนของเขาที่เดินตามออกมาได้เรียกตน พร้อมกับโชว์ปืนเดินเข้ามาหาตน ตนจึงเดินเข้าไปคุย ขณะที่เข้าไปคุย ก็ปรากฏว่ามีชายเสื้อสีน้ำเงินเดินมาจากไหนไม่รู้ ซึ่งตนก็ไม่รู้จักกันมาก่อน เดินปรี่เข้ามาชกต่อยตนไป 1 ครั้ง แล้วก็มีพลเมืองดีที่นั่งอยู่ข้างๆ มาช่วยเหลือ และห้ามปราม
แต่ชายคนดังกล่าวก็พยายามที่จะเข้ามาทำร้ายตนอีก ขณะนี้ตนได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ตนเคยถูกระทำในลักษณะนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นตนไม่ได้เอาความ ทั้งนี้ตนรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะว่าตนเป็นประชาชนคนหนึ่ง และอีกฝ่ายเป็นตำรวจ ดังนั้นการใช้อำนาจหน้าที่ของการเป็นตำรวจมาข่มขู่ประชาชนแบบนี้ไม่ได้
กรณีที่มีเรื่องกันมาก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว จากการเกิดอุบัติเหตุ โดยตนขี่รถจักรยานยนต์ชนกับพ่อของตำรวจนายหนึ่งซึ่งพ่อของตำรวจนายนั้นก็เป็นตำรวจเหมือนกัน และอุบัติเหตุครั้งนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ แต่คดีได้ตัดสินไปแล้วว่าประมาทร่วม ต่างคนต่างยกฟ้องคือต่างคนก็ต่างผิด แต่ตำรวจนายนั้นไม่ยอมจบ ที่ผ่านมาเมื่อเจอหน้ากันก็มักจะมีปัญหากันตลอด ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งแรกที่มีปัญหากัน ตำรวจคนดังกล่าวเรียกตนไปทำร้ายร่างกายในโรงพัก แต่ตนก็ไม่ได้เอาความ แต่มาครั้งนี้ตนรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย เพราะเจอกันที่ไหนก็มีปัญหาทุกครั้ง อย่างไรก็ตามตนมองว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรม เนื่องจากตำรวจในเครื่องแบบที่มาในวันนั้นไม่ได้ช่วยเหลือตนซึ่งเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ แต่กลับมาเจรจาพูดคุยให้ตนสงบสติอารมณ์
ขณะที่ทางด้าน ส.ต.ท.ชนาธิป สอดศรี ผบ.หมู่ (ป) สภ.เมืองกาญจนบุรี บุตรชาย ร.ต.ท.ชัดถ้อย สอดศรี รอง สวป.สภ.เมืองกาญจนบุรี ซึ่งเป็นคู่กรณีในคดีอุบัติเหตุเมื่อ 2 ปีก่อน เปิดเผยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า หลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปผ่านทางโลกโซเชียลออกไป ตนอยากชี้แจงว่า บางสิ่งบางอย่างที่หลายคนออกมากล่าวโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ข้อเท็จจริงก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ตนเป็นผู้เสียหายจากการที่คู่กรณีเป็นคนกระทำ บิดาของตนต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งผ่านมา 2 ปีกว่าแล้ว ปัจจุบันอาการยังคงโคม่า มีอาการสมองบวมเพราะน้ำเลี้ยงในสมอง กะโหลกยังไม่ได้ปิด ส่วนร่างกายซีกซ้ายเคลื่อนไหวไม่ได้ ลักษณะเหมือนเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก ซึ่งกระทบต่อจิตใจของตนอย่างมาก อย่างไรก็ตามตนอยากฝากด้วยว่า ความเป็นเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูก ก็ควรที่จะมีจิตสำนึกมาถามไถ่อาการหรือมาเยี่ยมเยียนบ้าง แค่ตนก็รู้สึกดีแล้ว แต่นี่ไม่เคยติดต่อมา
วันเกิดเหตุตนก็ไปเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน 4 -5 คน ตามปกติ และเป็นเหตุบังเอิญที่ตนต้องไปนั่งโต๊ะข้างๆ คู่กรณี ซึ่งตนนั่งหันหน้าไปทางนั้นพอดี ขณะที่อีกฝ่ายก็เห็นตนเช่นกัน โดยคู่กรณีได้ทำหน้าตายั่วยวนเหมือนเช่นทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ซึ่งเพื่อนตนไม่อยากให้ตนมีปัญหากับคู่กรณี จึงลุกเดินไปบอกคู่กรณีว่า ให้กลับออกไปก่อนดีกว่า ซึ่งคู่กรณีก็เดินกลับออกไป แต่กลับไปเรียกพรรคพวกมาประมาณ 3-4 คน แล้วก็กลับเข้ามายืนที่โต๊ะ และจ้องมองหน้าตน พร้อมกับกวักมือเรียกตนอย่างท้าทาย ตนจึงเดินออกไป ขณะที่เพื่อนๆ ของตนก็ห้ามปราม เพราะไม่อยากให้มีปัญหากัน
ซึ่งเมื่อออกไปเจอกับคู่กรณีที่บริเวณด้านนอกร้านก็พบว่า มีพรรคพวกของเขารออยู่ด้านนอกอีกกว่า 10 คน ขณะที่ฝ่ายตนมีเพียง 5 คน ส่วนกรณีที่อ้างว่ามีการนำปืนมาข่มขู่นั้น ตนขอชี้แจงว่า สถานบริการได้ทำการตรวจค้นอาวุธทุกคนที่เข้าไปใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจก็ต้องถูกตรวจค้นเช่นกัน และยืนยันว่ากลุ่มตนไม่ได้มีการชกต่อยคู่กรณีแต่อย่างใด มีแต่การเข้าไปห้ามปรามยื้อแย่งจนเกิดการกระทบกระทั่งหรือผลักดันกันเกิดขึ้น แต่จะผลักโดนตรงจุดไหนนั้น ตนไม่ทราบ
ทั้งนี้ในวันนั้นตนไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ โดยไปเที่ยวในนามส่วนตัว ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ และไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่นอกเครื่องแบบแต่อย่างใด และไปเจอคู่กรณีโดยบังเอิญ "หากคุณโดนแบบผมบ้าง พ่อผมเป็นพ่อคุณ ตนอยากถามว่า ใครรังแกใครกันแน่ และถ้าคุณเจอเหตุการณ์แบบนี้คุณจะรู้สึกอย่างไร ในทุกๆ วันตนจะต้องเจอพ่อที่ไม่เต็มร้อย ทั้งๆ ที่เขาใช้ชีวิตได้ตามปกติ มีหน้าที่การงานที่ดี และกำลังจะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และนับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุ เขาก็ไม่สามารถปฏิบัติงานได้อีกต่อไป
"ตนขอยืนยันว่า ไม่ได้โดนตัวกับคู่กรณีที่นำคลิปไปลงแต่อย่างใด และขอให้เห็นใจครอบครัวตัวเองด้วยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมมาแล้วทั้งชีวิต แล้ววันนี้ยังมีคลิปออกมาอีกอยากถามคนที่ปล่อยคลิปต้องการอะไรจากตน" ส.ต.ท.ชนาธิป สอดศรี ผบ.หมู่ (ป) สภ.เมืองกาญจนบุรี กล่าว
ส่วนทางด้าน ร.ต.อ.มานิต ทองเพชรพิสิษฐ์ รอง สวป.สภ.เมืองกาญจนบุรี ซึ่งเป็นชายสวมเสื้อสีน้ำเงินตามที่ปรากฏในคลิป เผยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ตามที่คู่กรณีกล่าวอ้าง ตนยืนยันว่า ไม่เป็นเรื่องจริง ก่อนเกิดเหตุตนได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำหน้าเมืองกาญจนบุรี ซึ่งเลี้ยงงานบวช จากนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืนเศษก็มาสังสรรค์ต่อที่ร้านที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ในวันนั้นตนไปในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ โดยไปกับตำรวจรุ่นน้อง รวม 5 คน โดย 1 ในรุ่นน้องที่ไปด้วยกัน เคยมีเรื่องเขม่นกับคู่กรณีซึ่งนั่งอยู่โต๊ะใกล้กัน ตนจึงได้ตักเตือนทั้งตำรวจรุ่นน้องและคู่กรณีไปว่า อย่ามีเรื่องทะเลาะกันในสถานบันเทิง ซึ่งหลังจากนั้นคู่กรณีก็เดินออกจากร้านไป แต่กลับไปชวนพรรคพวกมาเกือบ 20 คน จากนั้นก็มีชายวัยรุ่นประมาณ 3-4 คน เดินกลับเข้ามาในร้านแล้วมากวักมือเรียกตำรวจรุ่นน้องให้ออกมาหา ตนจึงเดินตามออกมา เพราะเกรงจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ซึ่งขณะนั้นชายวัยรุ่นเกือบ 20 คน ได้กรูเข้ามาหาตน ตนจึงพยายามที่จะเข้าไปป้องกันห้ามปรามเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้าย ซึ่งตนไม่ได้ต่อยคู่กรณีแต่อย่างใด แต่อีกฝ่ายไม่ยอมฟังเสียง ท้าทาย ก้าวร้าวใส่และด่าทอตำรวจอย่างเสียหาย ตนจึงอยากขอความเป็นธรรมกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย
โดยหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นเบื้องต้น พล.ต.ต.สุวิทย์ ชาวศรีทอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี ได้สั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมรายงานให้ทราบผลภายใน 7 วัน ขณะเดียวกันก็ได้สั่งการให้ ร.ต.อ.มานิต ที่เป็นคู่กรณีไปปฏิบัติหน้าที่ ศปก.ภ.จว.กาญจนบุรี แล้ว จนกว่าจะมีคำสั่ง ขณะที่พนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ของ นายพรหมมนัส หรือนายโม ภูศรี และดำเนินการตามขั้นตอนการสอบสวนในเรื่องนี้แล้ว