ชาวบ้านผวา "หนุ่มคลั่งยา" ทำลายทรัพย์สิน-ถือปืนขู่-ปาระเบิดปิงปองป่วน
14 พ.ย. 2565, 12:48
วันที่ 13 พ.ย.65 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากตัวแทนชาวบ้านรายหนึ่งในพื้นที่หมู่ 7 ตำบลนาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร พร้อมส่งหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอบางส่วนแสดงถึงพฤติกรรมอาการคลุ้มคลั่งของนายเอกพงษ์ หรือปาล์ม อายุประมาณ 32 ปี เป็นชาวบ้านหมู่ 7 ตำบลนาโพธิ์ ก่อเหตุอาละวาท ระรานชาวบ้านไปทั่ว
ชาวบ้านในซอยบนควนตะล่อมที่ได้รับความเดือดร้อนรายหนึ่ง เล่าว่า ชาวบ้านทั้งซอยประมาณ 7-8 หลังคาเรือนได้รับความเดือดร้อนมานานแรมปี ต่างอยู่กันอย่างหวาดผวา ไม่มีความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินเมื่อ นายเอกพงษ์ หรือปาล์ม คลุ้มคลั่งเกือบทุกวันทนกันมานาน โดยมีพฤติกรรมขับรถจักรยานยนต์ เอะอะโวยวาย ไปตามถนนในซอยหมู่บ้าน จุดระเบิดปิงปองใส่บ้าน ทำลายทรัพย์สินและลักขโมยตัดผลปาล์มน้ำมันของชาวบ้านด้วย
ล่าสุดขับรถจักรยานยนต์พาลูกเมียซ้อนท้ายไปก่อกวนทำลายทรัพย์สินภายในร้านค้าญาติของตนเอง ซึ่งอยู่ต่างตำบล ทุบปาขวดเบียร์แตกกระจายได้รับความเสียหาย ซ้ำพูดพล่ามไปเรื่อยและบอกว่า “กูยิงเดี๋ยวมึง”(ตามคลิป) จนไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมด้วย เนื่องจากเกรงกลัวอาจจะถูกนายเอกพงษ์มีอาการกำเริบคลุ้มคลั่งทำร้าย ได้เพียงยกมือท้วมหัวสาปแช่งเท่านั้น
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดเผยว่า “นายเอกพงษ์ เคยถูกผู้นำชุมชนและชาวบ้านแจ้งตำรวจ สภ.สวี จับในคดีอาวุธปืน โดยมีพฤติกรรมเอาปืนพกสั้นออกข่มขู่ชาวบ้าน ลักษณะคล้ายคนเมาสารเสพติด เหตุเกิดเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา อยู่ในระหว่างประกันตัวชั่วคราว โดยติดกำไล EM ที่ข้อเท้าไว้และรอพิจารณาคดีในชั้นศาล ประกันตัวชั่วคราวแล้วยังออกมาก่อเหตุวุ่นวายอีก
จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอสวี ควบคุมตัวไปตรวจหาสารเสพติด ผลปรากฏว่าพบเสพสารเสพติดถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับส่งดำเนินคดีอีก ทั้งนี้ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ แนะชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนให้ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐานแล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันทีพร้อมส่งตำรวจสายตรวจและชุดสืบสวนลงพื้นที่บ่อยขึ้น เมื่อพบผู้ก่อเหตุจะนำตัวมาดำเนินคดี แจ้งข้อกล่าวหาตามพยานหลักฐานเพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัย
รายงานเพิ่มเติมเสียงจากชาวบ้านที่เดือดร้อนว่า นายเอกพงษ์ ถูกจับประกันตัวออกมาก่อเหตุซ้ำๆจนชาวบ้านไม่เป็นหลับนอนจึงรวบรวมหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอส่งให้ผู้สื่อข่าว เพื่อเป็นการแจ้งเตือนประชาชนทั่วไปและให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องใช้มาตรการตามกฎหมายให้ถึงที่สุดและเด็ดขาดก่อนจะเกิดความสูญเสียมากกว่านี้