แม่ลูกอ่อนโวย ! "รพ." จ่ายยาคาลาไมน์ให้ "ลูกน้อยวัย 1 เดือน" อาการหนัก ต้องเข้าห้องไอซียู
24 ธ.ค. 2565, 12:33
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2565 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ชื่อ “พี่ข้าวหอม น้องข้าวใหม่” ได้โพสต์ภาพขวดยา ที่ระบุว่า เป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ.กระบี่ พร้อมกับภาพเด็กทารก โดยมีข้อความระบุว่า “เด็กน้อยวัย 1 เดือน 12 วัน เตือนเป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน เรื่องมีอยู่ว่า ลูกชายได้มานอนโรงพยาบาล เป็นเวลา 3 คืน 4 วัน เนื่องจากไม่สบายและเป็นไวรัสผิวหนัง หมอเลยให้นอน รพ. เพื่อให้น้ำเกลือและยาฆ่าเชื้อ หลังจากหายแล้ว ในวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 คุณหมอบอกกลับบ้านได้ ก็เลยพาลูกกลับบ้าน กลับถึงบ้านประมาณ 13.20 ก็ให้ลูกนอน พอถึงเวลาบ่าย 15.00 ลูกตื่นให้ลูกกินนม อาบน้ำ หลังจากนั้นให้ลูกกินยา อ่านสลากยาแล้วว่า แคลเซียม รับประทานครั้งละ 1 เม็ด 1 เม็ดก็คือ 1 ซีซีของยาน้ำ อ่านเสร็จปุ๊บก็ฉีดยา ใส่หลอดยา เพื่อจะฉีดให้ลูกรับประทาน ฉีดเข้าไปครั้งที่ 1 ลูกกิน ครั้งที่ 2 ลูกไม่กิน คายออกมาและร้องหนักมาก แม่เลยตกใจผิดปกติเรียกให้พ่อมาดู
พ่อก็เลยลองชิมยานั้นดู สรุปคุณพ่อบอกว่าเป็นคาลาไมน์และค้นหาตามกูเกิ้ลและสอบถามหลายๆ คน ปรากฏเป็นคาลาไมน์ ยาใช้ภายนอกห้ามรับประทาน หลังจากนั้นลูกมีอาการอาเจียน อุจจาระออกมาเป็นน้ำ จึงพากลับมาที่โรงพยาบาล คุณหมอให้แอดมิต นอนโรงพยาบาลจนทุกวันนี้ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลเพื่อดูอาการน้อง และน้องยังมีไข้ ถ่ายตลอดเวลาและทางโรงพยาบาลเดิมส่งตัวน้องมาอยู่โรงพยาบาลภายในจังหวัดกระบี่ ณ ตอนนี้น้องยังไม่ดีขึ้นยังอยู่ห้องไอซียู ฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและฝากพี่ๆ น้องๆ ช่วยแชร์ออกไป เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมมากกว่านี้ค่ะ แค่อยากรู้ เด็กกินคาลาไมน์ไม่มีผล แล้วที่ล้ำไส้บวมเกิดจากอะไร???!!! อยู่โรงพยาบาลมา 20 กว่าวัน ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยคะ”
น.ส.ขนิษฐา อายุ 24 ปี อยู่บ้าน ต.คลองพน อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เจ้าของเฟซบุ๊ก และเป็นแม่ของเด็กที่กำลังป่วย กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เธอพาลูกชายของเธอคือ อายุ 2 เดือน ไปพบหมอที่ รพ.ประจำอำเภอ เพื่อตรวจสุขภาพเด็กแรกเกิด วันแรกที่ไปตรวจหมอบอกว่าลูกมีอาการไข้ อยากให้นอน รพ. ตนก็ให้ลูกนอนรักษาตัวที่ รพ. จนวันที่ 2 ธันวาคม หมอให้กลับบ้านได้ พร้อมสั่งจ่ายยามาให้กิน วันแรกที่พากลับบ้าน ก็มาดูแลตามปกติและนำยาที่ รพ.จ่ายให้ มาป้อนให้ลูกกิน เป็นยาน้ำแบบขวด ซึ่งมีฉลากยาเป็นภาษาอังกฤษ ตนเองก็อ่านไม่ออก แต่อีกด้านของขวดจะเป็นฉลากยาภาษาไทย ซึ่งทาง รพ.แปะมาให้ ระบุว่าเป็นแคลเซียม ให้รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หรือ 1 ซีซี ตนก็นำยาใส่หลอดป้อนให้ลูกกินตามคำแนะนำของ รพ. แต่ 1 ซีซี ต้องป้อน 2 ครั้ง เมื่อป้อนไปครั้งแรก ลูกก็กินปกติ แต่พอป้อนครั้งที่ 2 ลูกไม่ยอมกิน และเริ่มร้องงอแง เธอตกใจมาก จึงเรียกสามีให้มาดู สามีลองชิมยาดู ก็บอกว่าเป็นคาลาไมน์ ตอนนั้นจึงตกใจมาก ก็ลองถามเพื่อนบ้านที่รู้ภาษาอังกฤษ ให้ช่วยดูขวดยา เพื่อนบ้านก็บอกว่าเป็นคาลาไมน์ ยาสำหรับรักษาอาการโรคผิวหนัง ใช้สำหรับทาภายนอก
“ตอนนั้นตกใจมาก ไม่นานลูกมีอาการอาเจียน และท้องเสียถ่ายอุจจาระหลายครั้ง จึงรีบพาไป รพ.เดิมอีกครั้ง หมอก็ให้นอน รพ.ที่ห้องรวม นอนอยู่ 6 คืน อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ทาง รพ.เองก็ไม่ยอมบอกความชัดเจนว่าลูกป่วยเป็นอะไร บอกเพียงอาการไม่หนัก และปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกับคาลาไมน์ที่กินไป จนวันที่ 7 ธันวาคม น้าสาวมาเยี่ยม และเห็นว่าลูกอาการยังไม่ดี จึงโวยวายขอให้ทาง รพ.รีบส่งตัวเด็กไปที่ รพ.อีกแห่ง ก็ไปนอนที่ รพ.นี้ จนวันที่ 11 ธันวาคม หมอก็ให้กลับบ้านได้อีกครั้ง โดยให้ใบรับรองแพทย์ ระบุว่า เด็กมีอาการผิวหนังอักเสบบริเวณถุงอัณฑะ ตอนนั้นก็คิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว แต่พอกลับมาอยู่บ้านได้ 2 วัน ลูกก็ยังอาการไม่ดี ยังถ่ายเหลวตลอด”
แม่ของเด็ก เปิดเผยต่อว่า วันที่ 14 ธันวาคม 2565 หมอที่ รพ.หลังนั้น ได้นัดให้มาตรวจอีกครั้ง ก็พาไปตรวจ หลังจากนั้นก็ให้นอนที่ รพ.เพื่อดูอาการ นอนอยู่ในห้องรวมอาการก็ยังไม่ดีขึ้น จนวันที่ 21 ธันวาคม พาลูกเข้าห้องไอซียู มาจนถึงวันนี้ก็ยังนอนอยู่ห้องไอซียู โดยหมอไม่บอกว่าลูกป่วยเป็นอะไรกันแน่ ซึ่งเธอและสามี ก็เริ่มกังวล ว่าลูกจะเริ่มอาการหนักขึ้น กลัวลูกจะเป็นอะไรไป พยายามบอกหมอให้ช่วยทำเรื่องส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ที่รักษาได้ดีกว่านี้ เพราะเธอเองก็ไม่มีเงินพอจะพาลูกไปรักษาเอง ต้องให้รักษาที่ รพ.ของรัฐ ทางหมอของ รพ.นี้ ก็ยืนยันว่ายังรักษาได้ ยังไม่ยอมส่งตัวไปรักษาต่อที่อื่น ทำให้ตนกังวลมาก จึงนำเรื่องมาโพสต์ เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยตนอยากให้ลูกได้ไปรักษา รพ.ในจังหวัดที่ใหญ่กว่า และมีศักยภาพมากกว่านี้
น.ส.ขนิษฐา กล่าวอีกว่า จนถึงวันนี้ ตนยังเชื่อว่าสาเหตุที่ลูกอาการหนักขึ้น น่าจะเกิดจากยาคาลาไมน์ ที่กินไป แต่ที่ผ่านมาทาง รพ.ทั้ง 2 แห่ง ต่างปฏิเสธว่าไม่เกี่ยว แต่ตนก็ยังสงสัยว่าถ้าไม่ใช่ความผิด รพ. และทำไมทาง รพ.ประจำอำเภอ จึงโอนเงินมาให้ตนจำนวน 70,000 บาท และให้เงินติดตัวมาอีก 5,000 บาท ในวันที่ส่งตัวมา รพ.หลังนี้ อยากให้ทาง รพ.ช่วยอธิบายเรื่องนี้ ว่าตอนนี้ลูกตนป่วยเป็นอะไร อาการหนักแค่ไหน และออกมายอมรับผิดกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วย
ที่มา : ch3plus