เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



ศาลตัดสิน ! "เนย ชยางกูร" อดีตศิษย์คนสนิทสมเด็จพระวันรัต จำคุก 10 ปี คดีฉ้อโกงวัดวชิรธรรมารามกว่า 80 ล้าน


28 ก.พ. 2566, 12:36



ศาลตัดสิน ! "เนย ชยางกูร" อดีตศิษย์คนสนิทสมเด็จพระวันรัต จำคุก 10 ปี คดีฉ้อโกงวัดวชิรธรรมารามกว่า 80 ล้าน




วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.30 ที่ห้องพิจารณา 906 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษา คดีฉ้อโกง หมายเลขดำ อ.1117/2565 ที่พนักงานอัยการและรักษาการเจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมาราม ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นายอภิรัตน์ หรือ เนย ชยางกูร ณ อยุธยา อายุ 40 ปี อดีตลูกศิษย์คนสนิทสมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวรวิหาร เป็นจำเลยในความผิดฐาน ฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสารใช้และใช้เอกสารปลอม ทำให้วัดวชิรธรรมมารามและวัดสาขา ในกรุงเทพและต่างจังหวัดเสียหายและให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน80.1ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยคืนแก่วัดวชิรธรรมด้วย

คดีนี้โจทก์ฟ้องระบุความผิดสรุปว่า เดิมสมเด็จพระวันรัต เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร  และรักษาการเจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมาราม อาพาธรักษาตัวที่โรงพยาบาลระหว่างปี2564-2565 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้จัดส่งเงินจำนวน 78.5 ล้านบาท เข้าบัญชีวัดวชิรธรรมมาราม เพื่อใช้จ่ายในการก่อสร้างวัดวชิรธรรมาราม(โครงการสร้างถวายในหลวงภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ร.9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินินาถ) และโครงการอื่นๆ มีพระวันรัต เป็นผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินเพียงผู้เดียว ในหลายบัญชีอาทิ ธนาคารกสิกรไทยฯ สาขาบางลำภู วัตถุประสงค์ฝากเงินเพื่อเอาดอกเบี้ย จนเงินเพิ่มเป็น 80.1ล้านบาท
 



ส่วนจำเลยเป็นศิษย์คนสนิท รู้ว่าเงินไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของสมเด็จพระวันรัตแต่เป็นของวัดวชิรธรรม ได้ออกอุบายหลอกลวงสมเด็จพระวันรัตให้ลงลายมือชื่อเบิกถอนเงิน หลายครั้งหลายหน แล้วนำไปเบิกถอนเงินกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร  เมื่อเจ้าหน้าที่ธนาคารฯโทรมา

สอบถามสมเด็จพระวันรัต ก็ไม่ได้รับสาย เพราะจำเลยให้ปิดเสียงโทรศัพท์ โดยจำเลยได้โอนเงินจำนวน 50 ล้านบาทเข้าบัญชีเงินฝากของตนเองจากนั้นจำเลยนำเงินที่หลอกลวงมาไปซื้อ รถยนต์ยี่ห้อเบนลีย์  ปอร์เช่ บีเอ็มดับเบิ้ลยู และรถหรูยี่ห้ออื่นกรวมทั้งจองและสั่งซื้อเลขป้ายทะเบียนสวย กระเป๋าราคาแพง อัญมณี ชำระหนี้บัตรเครดิต รวมทั้งหมด 324 รายการ ต่อมาสมเด็จพระวันรัตทราบเรื่อง เกี่ยวการโอนเงินวัดเข้าบัญชีจำเลย จึงสอบถามจำเลยซึ่งจำเลยตอบว่าโอนเงินผิด สมเด็จพระวันรัตจึงตำหนิจำเลยแล้วบอกให้โอนเงินกลับคืนมาให้เรียบร้อย แต่จำเลยเพิกเฉยไม่โอนเงินคืนให้ 

ทั้งนี้จำเลยมีการกระทำในลักษณะเดียวกันนี้ต่อวัดบวรนิเวศฯ วัดรัตนวราราม ในหลายบัญชี โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยสถานหนักและให้คืนเงินจำนวน 80.1 ล้านบาทด้วย จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีและถูกคุมขังในเรือนจำมาโดยตลอด


โดยวันนี้ (28 ก.พ. 66) ศาลได้เบิกตัวนายอภิรัตน์ จำเลยมาจากเรือนจำ พิเศษกรุงเทพ และมีญาติโยมลูกศิษย์มาร่วมฟังคำพิพากษา

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้ว เห็นว่า จำเลยมีเจตนาฉ้อโกงหลอกลวงสมเด็จพระวันรัตโดยปลอมลายมือชื่อและใช้ใบถอนเงินปลอม โดยเมื่อวันที่ 29 ม.ค.2564 จำเลยได้ถอนเงินจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารหลงเชื่อว่าใบถอนเงินดังกล่าวเป็นเอกสารฉบับจริง หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2565 จำเลยยังได้โอนเงินจำนวน 30 ล้านบาทเศษเข้าบัญชีส่วนตัวของจำเลย โดยฝ่าฝืนไม่ได้รับความยินยอมจากสมเด็จพระวันรัต 

ดังนั้นจากพฤติกรรมเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองโดยทุจริตมาตั้งแต่ต้นและปกปิดข้อมูลข้อเท็จจริง 

การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุด

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 และ 268 วรรคแรก ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม จำนวน 2 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมโทษจำคุก 10 ปี และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 80 ล้านบาทเศษ แก่วัดวชิรธรรมด้วย.






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.