วันที่ 8 มี.ค.2566 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เปิดเผยว่า กบง.มีมติเห็นชอบให้คงราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) หน้าโรงกลั่น อยู่ที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ก.ก.) ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อกำหนดกรอบเป้าหมายราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มอยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถัง 15 ก.ก. มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-30 มิ.ย.2566

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวต่อว่า โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เพื่อพิจารณาบริหารจัดการเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับแนวทางการทบทวนการกำหนดราคาแอลพีจีต่อไป และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซแอลพีจี ไม่ให้มีการลักลอบเติมก๊าซแอลพีจีสำหรับรถยนต์ลงในถังก๊าซหุงต้ม

นอกจากนี้ สถานการณ์ราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) ตั้งแต่ปลายปี 2564 ต่อเนื่องปี 2565 ที่อยู่ในระดับสูง กบง.จึงมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานขอความอนุเคราะห์บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) กำหนดราคาขายปลีกก๊าซเอ็นจีวีสำหรับรถยนต์ทั่วไป ให้คงราคาอยู่ที่ 17.59 บาทต่อก.ก. เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.-15 มิ.ย.2566 สำหรับรถแท็กซี่ในโครงการเอ็นจีวีเพื่อลมหายใจเดียวกัน ของ ปตท. ให้คงราคาขายปลีกก๊าซเอ็นจีวีไว้ที่ 13.62 บาทต่อก.ก. เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.-15 มิ.ย.2566 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันยังเห็นชอบการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็วบี7 ไม่ต่ำกว่า 6.6% และไม่สูงกว่า 7% โดยปริมาตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ไม่ต่ำกว่า 6.6% และไม่สูงกว่า 10% โดยปริมาตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ไม่ต่ำกว่า 6.6% และไม่สูงกว่า 20% โดยปริมาตร มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-30 ก.ย.2566 เพื่อไม่ให้ต้นทุนเนื้อน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้น และลดภาระกองทุนในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล