จนท.สนธิกำลังสกัดจับ "กลุ่มชาวเมียนมา" หนีภัยสงครามในประเทศ แอบรับจ้างขนยาเสพติดเข้าไทย แลกกับค่าเดินทาง
11 มี.ค. 2566, 05:34
เมื่อช่วงเวลาประมาณ 20.00 น.วันที่ 10 มีนาคม 66 พันเอก พรรณศักดิ์ เพรียวพานิช รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ นายชัยวุฒิ คุณาธิมาพันธ์ รักษาการป้องกันจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำกำลังเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน (อส.) พร้อมด้วยกำลังทหารหน่วยเฉพาะจงอางศึก สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองวาฬ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองประจวบคีรีขันธ์(ตม.) ตำรวจตระเวนชายแดนที่146 (ตชด.)เจ้าหน้าที่ชุดรักษาความสงบหมู่บ้าน(ชรบ.) ร่วมกันออกลาดตระเวนสกัดจับบุคคลต่างด้าวชาวเมียนมาร์ ที่แอบลักลอบข้ามชายแดนไทย ผ่านแนวเทือกเขาตะนาวศรี ตามที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีบุคคลต่างด้าวแอบลักลอบเข้าประเทศพร้อมกับยาเสพติดจำนวนหนึ่ง เพื่อไปขายแรงงานในประเทศมาเลเซีย จึงได้แบ่งกำลังออกลาดตระเวนและเฝ้าสกัดจับกุม
ในเวลาต่อมาได้พบกลุ่มบุคคลต่างด้าวจำนวนหนึ่งกำลังแบกสะพายกระเป๋าสัมภาระเดินเท้าแอบลักลอบข้ามแดนไทย บริเวณช่องทางธรรมชาติ หมู่ 5 บ้านหุบผึ้ง ตำบลห้วยทราย อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุมทั้งหมดจำนวน 22 คน แบ่งเป็นชาย 12 คนหญิง 7 คน ผู้นำพาเป็นชายอีก 3 คน โดยหนึ่งในผู้ต้องหาให้การยอมรับสารภาพว่า ได้เดินทางมาจากในหลายเมืองและหลายจังหวัดต่างๆของประเทศเมียนมาร์ เนื่องจากต้องหลบหนีภัยสงครามจากการสู้รบของทหารเมียนมาร์ในประเทศ ทำให้ไม่สามารถประกอบอาชีพกรีดยางและทำงานได้ จึงได้พากันทิ้งบ้านเกิดของตนเองไปหาทำงานในประเทศมาเลเซียเพื่อความอยู่รอดและหาสถานที่ปลอดภัยให้กับตัวเอง และเมื่อเหตุการณ์สงบลงเมื่อไรจึงค่อยเดินทางกลับบ้านเกิดของตนเองในประเทศเมียนมาร์ทั้งหมด โดยได้เดินทางมาพักรวมพลที่บริเวณบ้านมูด่องฝั่งเมียนมาร์ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากชายแดนไทยมากนัก จากนั้นจึงพากันออกเดินเท้ามาตามช่องทางธรรมชาติ เพื่อรอให้นายหน้ามารับ ซึ่งการเดินทางในแต่ละครั้งต้องเสียค่าจ้างในการเดินทางครั้งละ 40,000 บาท ให้กับนายหน้า โดยแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด งวดแรกก่อนออกเดินทางจ่าย 20,000 บาทที่ฝั่งพม่า งวดที่ 2 อีก 20000 บาท เมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว แต่มาถูกจับได้เสียก่อน
จากการตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระพบว่าหนึ่งในผู้ต้องหาที่หลบหนีเข้าเมืองมาพร้อมกันมียาเสพติดซุกซ่อนมาในกระเป๋าเป้เดินทางด้วย เป็นยาบ้าจำนวน 2,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในกระป๋องแป้ง และยาไอซ์อีกจำนวน 1.75 กิโลกรัม บรรจุในถุงสีดำทราบชื่อ นายเอาไป๋ อายุ 36 ปี โดยให้การยอมรับสารภาพว่าได้ขนยาเสพติดมาจากจังหวัดปะรอ ฝั่งเมียนมาร์ และนำเอาไปส่งที่บริเวณชายแดนไทย-มาเลย์ เพื่อแลกกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ต้องเสียให้กับนายหน้า เนื่องจากตนเองบ้านถูกไฟเผาไหม้ทำให้ไม่มีเงินในการเดินทาง จึงได้รับจ้างขนยาเสพติดเป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าหน้าที่จึงได้จัดทำประวัติและบันทึกจับกุมนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมด ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองวาฬ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป