โดยกล่าวหาว่า มีความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484 มาตรา 11 ฐาน “ร่วมกัน กับพวกที่หลบหนี ทำไม้หวงห้ามโดยมิได้รับอนุญาต” มาตรา 48 ฐาน “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนี แปรรูปไม้หวงห้าม มีไม้แปรรูปหวงห้ามเกินกว่า 0.20 ลบ.ม. ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 53 วรรคหนึ่ง ฐาน “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนี เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต” มาตรา 55 วรรคหนึ่ง (5) ฐาน “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนี กระทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตราย หรือทำให้เสื่อมสภาพซึ่งไม้ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาต” พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ฐาน “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” และ พระราชบัญญัติอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ฐาน“ร่วมกันกับพวกที่หลบหนี มีอาวุธปืน (ปืนแก๊ป) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน” ฐาน “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีพกพาอาวุธปืน (ปืนแก๊ป) ไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต” จนท.ได้บันทึกเรื่องราวพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง มอบหมายให้นายศักดิ์ชัย มหาภูวตานนท์ ทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าเขาศาลา เป็นผู้นำเรื่องราวเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ ต่อพนักงานสอบสวน สภ.บัวเชด อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ ต่อไป

สำหรับการลักลอบตัดไม้พะยูง มักจะพบว่าชาวกัมพูชาข้ามแดนลักลอบเข้ามาตัดไม้และถูกจับกุมอยู่บ่อยครั้งตามป่าตลอดแนวตะเข็บชายแดน โดยพฤติกรรม จะมีนายทุนนำชาวกัมพูชามาส่งกระจายตามแนวชายแดนเ เพื่อกระจายกันออกตัดไม้แบบกองทัพมด หกจับได้จุดหนึ่งหรือไม่กี่จุด ก็ยังเหลืออีกหลายจุดที่ยังสามรถลำเลียงไม้กลับไปยังพื้นที่ประเทศกัมพูชาได้ แม้ จนท.ของไทยจะพยายามปราบรามจับกุมมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามรถป้องกันปราบได้หมดทุกครั้ง เนื่องจากป่าชายแดนมีระยะทางและพื้นที่มากเกินกำลัง ที่ จนท.จะรับผิดชอบและดูแลได้ทั่วถึงทั้งหมด