"ประวิตร" พบ ปชช.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ตรวจติดตามแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนของชาวบ้าน เผย ปัญหา 33 ปี ใกล้สำเร็จเป็นรูปธรรม
17 มี.ค. 2566, 20:24
วันนี้ 17 มีนาคม 2566 เวลา 15.30 น. ที่ นิคมสหกรณ์ปิเหล็ง อําเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ลงพื้นที่ตรวจติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนกรณีป่าสงวนแห่งชาติทับซ้อนพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสหกรณ์ในท้องที่ อำเภอระแงะ อำเภอสุไหงปาดี และอำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส โดยมี พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. พลตรี ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ร่วมคณะ พร้อมพบปะ ส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ กว่า 1,000 คน
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รับทราบปัญหาการทับซ้อนที่ดินทำกินดังกล่าว เป็นระยะเวลา 33 ปี ซึ่ง กพต.มอบหมายให้ ศอ.บต. ประสานทุกกระทรวง และหน่วยงานเกี่ยวข้องดำเนินงาน โดยขณะนี้ได้เกิดผลสำเร็จในระดับพื้นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องของส่วนกลาง ที่จะมีการดำเนินการให้มีโฉนดแก่ประชาชนในพื้นที่ ให้ประชาชนมั่นใจในการใช้ชีวิต สร้างงาน สร้างรายได้ ดูแลครอบครัว โดยมอบหมายให้ พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานดำเนินการ จัดทำพื้นที่ให้เป็น one Map พร้อม เร่งทุกส่วนดำเนินการให้เร็วที่สุดแล้ว
ด้านนายวัน แก้วสุกใส ประธานกรรมการสหกรณ์นิคมปิเหล็ง จำกัด กล่าวขอบคุณรัฐบาล ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ดำเนินการเร่งรัดหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือ ประชาชน ซึ่งเห็นความตั้งใจและจริงใจของรัฐบาลต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน มีที่ดินทำกินที่ถูกต้องตามกฎหมาย
สำหรับลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดนราธิวาส มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้และภูเขา 2 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด รวมทั้งมีพื้นที่ป่าพรุ ประมาณ 361,860 ไร่ ส่งผลให้เกิดปัญหาทับซ้อนระหว่างที่ทำกินของประชาชนและที่ดินที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานรัฐเกือบทุกพื้นที่ ทั้ง 13 อำเภอของ จังหวัดนราธิวาส สภาพปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร ทั้งสวนยางพารา สวนผลไม้ และทำนาข้าวในพื้นที่ลุ่ม กรณีความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่อาศัยทำกินในเขตนิคมสหกรณ์ปีเหล็ง เนื้อที่ จำนวน 31,413 ไร่ ซึ่งทับซ้อนกับเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ป่าพรุ จำนวน 27,467 ไร่ 1 งาน 76 ตารางวา และทับซ้อนป่าสงวนแห่งชาติ ป่าลุ่มน้ำบางนรา แปลงที่ 1 จำนวน 15,388ไร่ ซึ่งประชาชนมีความเดือดร้อน จำนวน 1,344 ครัวเรือน ไม่สามารถนำหนังสือแสดงการทำประโยชน์ ในกรณีที่ได้รับการจัดที่ดินในสหกรณ์นิคม (กสน.5) ที่ออกโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ไปยื่นขอออกเอกสารสิทธิได้ ทั้งนี้ สำหรับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ขณะนี้มีผลความคืบหน้าเป็นลำดับ อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินงาน