มท.1 สั่งผู้ว่าฯทั่วประเทศ เตรียมรับมืออุทกภัยช่วงฤดูฝน ปี 2566
22 พ.ค. 2566, 20:59
วันนี้ ( 22 พ.ค.66 ) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในวันนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูฝน ปี 2566 ซึ่งจะสิ้นสุดประมาณกลางเดือนตุลาคม 2566 โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศคาดการณ์ปริมาณฝนรวมของทั้งประเทศจะน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติเล็กน้อย และในช่วงประมาณกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคม จะเกิดสภาวะฝนทิ้งช่วง ส่งผลให้ปริมาณและการกระจายของฝนมีน้อย สำหรับในช่วงเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม เป็นช่วงที่มีฝนตกชุกหนาแน่นที่สุด และมีโอกาสสูงที่จะมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนผ่านบริเวณประเทศไทย ส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากและก่อให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก รวมทั้งน้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เพื่อให้การเตรียมรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2566 เป็นไปตามกฎหมาย แผน และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดได้ตั้งคณะทำงานเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อุทกภัย ทบทวนและปรับปรุงแผนเผชิญเหตุอุทกภัยของจังหวัดให้มีข้อมูลพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยดินถล่มในระดับหมู่บ้าน/ชุมชน รายการเครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรกลสาธารณภัยของหน่วยงานต่าง ๆ การกำหนดจุด/พื้นที่ปลอดภัยประจำหมู่บ้าน/ชุมชน แผนอพยพประชาชน และสถานที่จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ช่องทางการสื่อสาร ให้ชัดเจน พร้อมทั้งให้มีการซักซ้อมแนวปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุอุทกภัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และใช้ประโยชน์จาก "ผังภูมิสังคมเพื่อการบริหารจัดการน้ำในหมู่บ้าน/ชุมชนแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน (Geo - Social Map)" ในการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและการเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ และวางแผนการติดตั้งเครื่องจักรกลสาธารณภัยในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยไว้เป็นการล่วงหน้าอย่างเป็นระบบเชื่อมโยงกัน
“สำหรับพื้นที่เสี่ยงในเขตชุมชน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ และเส้นทางคมนาคมที่มักเกิดอุทกภัยเป็นประจำ ให้เร่งขุดลอกท่อระบายน้ำ ดูดเลน ทำความสะอาดร่องน้ำ และสำหรับคลอง แหล่งน้ำต่าง ๆ ให้กำจัดวัชพืช ขยะ สิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อใช้รองรับน้ำฝนและน้ำจากท่อระบายน้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งให้วางแผนการลำเลียงน้ำที่มีการระบายในช่วงน้ำมากไปยังพื้นที่รองรับน้ำต่าง ๆ ที่มีน้ำน้อย อาทิ การเปิดทางน้ำ การสูบส่งน้ำไปยังแหล่งกักเก็บน้ำของหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้กรณีเกิดสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง พร้อมทั้งตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงสถานที่ใช้กักเก็บน้ำ กั้นน้ำ อาทิ อ่างเก็บน้ำ พนังกั้นน้ำ และปรับปรุงให้เกิดความมั่นคงแข็งแรงตามหลักวิศวกรรม เพื่อรองรับกรณีฝนตกหนักหรือน้ำไหลเข้า ไหลผ่านในปริมาณมาก และต้องตรวจสอบจุดเสี่ยงอันตรายจากกระแสไฟฟ้า หากประเมินว่าอาจเกิดอันตรายกับประชาชน ให้รีบตัดกระแสไฟฟ้าและเร่งรัดแก้ไขปัญหาโดยทันที
นอกจากนี้ หากมีแนวโน้มการเกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ให้แจ้งเตือนไปยังกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธรณภัยแต่ละระดับ เพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือตามแผนเผชิญเหตุ พร้อมแจ้งเตือนประชาชนทราบถึงสถานการณ์ แนวปฏิบัติให้เกิดความปลอดภัย ช่องทางการแจ้งข้อมูลและขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐในทุกช่องทางสื่อสาร” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าว
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านการเผชิญเหตุ เมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด อำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินท้องถิ่น เพื่อเป็นศูนย์ควบคุม สั่งการ และอำนวยการหลักในการระดมสรรพกำลัง ประสานการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ โดย “ในเขตชุมชนเมือง” ที่เกิดฝนตกหนักและส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน ให้ฝ่ายปกครองบูรณาการภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนร่วมเฝ้าระวัง กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ รวมทั้งจัดกำลังตรวจตราเฝ้าระวังบริเวณเสาไฟฟ้าในเขตชุมชน สถานศึกษา เพื่อให้ความช่วยเหลือ แจ้งเตือนประชาชนที่สัญจรไปมาบริเวณดังกล่าว
“สำหรับพื้นที่ที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องจักรกลสาธารณภัยสนับสนุนการแก้ไขปัญหา” ให้บูรณาการหน่วยงานฝ่ายพลเรือน หน่วยทหาร ตลอดจนภาคเอกชน ใช้เครื่องจักรกลสาธารณภัยเปิดทางน้ำ หรือสูบน้ำระบายออกจากพื้นที่ พร้อมทั้งจัดชุดปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชน อาทิ การจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน การแจกจ่ายอาหาร สิ่งของด้านการดำรงชีพตามวงรอบอย่างต่อเนื่อง โดยน้อมนำพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เร่งบรรเทาสถานการณ์ให้พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยกลับมาใช้ชีวิตตามปกติสุขได้โดยเร็ว และบูรณาการหน่วยงานทั้งฝ่ายพลเรือน หน่วยทหาร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเร่งซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน
“กรณีเส้นทางคมนาคมมีน้ำท่วมขังหรือได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ให้จัดทำป้ายแจ้งเตือน และจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกแนะนำเส้นทางเลี่ยงที่ปลอดภัย โดยหากเส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด หรือบ้านเรือนประชาชนถูกน้ำท่วมขังสูงให้จัดยานพาหนะที่เหมาะสม อาทิ เรือ รถยกสูง อำนวยความสะดวกให้ประชาชน พร้อมทั้งเร่งซ่อมแซมเส้นทางที่ชำรุด/ถูกตัดขาด เพื่อให้การคมนาคมของพี่น้องประชาชนและภาคขนส่งสามารถใช้การได้ ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัย และภัยต่าง ๆ ขอให้ได้ติดต่อประสานงานแจ้งสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เร่งให้การช่วยเหลือโดยทันที” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย