กรณีประเด็นดราม่าในโลกโซเซียล มีผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ ” มงคล ศรีสุข ” โพสข้อความและภาพว่า ” ขยะถึงจะใส่ถุงดำเรียบร้อย แต่รถเทศบาลไม่เก็บให้นะครับ เค้าบอกต้องซื้อถุงที่มีตราของเทศบาลเท่านั้นนะครับ ถุงละ 10 บาท ราคาดีมากเลยครับ สุดยอดกู๊ดไอเดียเลยครับ ขอให้คุณรวยๆกับการขายถุงดำน่ะครับ #เทศบาลเมืองปากพูน#อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช  พร้อมทั้งลงภาพถุงขยะตราเทศบาลเมืองปากพูน ภายหลังมีการโพสต์ดังกล่าวในโลกโซเซียล มีชาวโซเซียลแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางในโลกโซเซียล ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับผู้โพสต์ดังกล่าว และมีบางส่วนได้แสดงความคิดเห็นแตกต่างกันออกไปกลายเป็นที่ฮือฮาในโลกโซเซียล

ล่าสุดวันนี้ ( 9 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบนายมงคล ศรีสุข อายุ 44 ปี เจ้าของโพสต์ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านซ่อมรถจักรยายนต์ เลขที่ 579/47 หมู่ 5 ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยนายมงคล กล่าวว่า นโยบายเก็บเงินค่าเก็บขยะของเทศบาลเมืองปากพูน เริ่มเก็บตั้งแต่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา และมีการขายถุงดำเก็บขยะของเทศบาลเมืองปากพูน ในราคาใบละ 10 บาท จำนวน 40 บาท ให้กับเจ้าของบ้านทุกหลัง ซึ่งตนยอมรับได้ แต่ความจริงแล้วขยะที่ร้านของตนมีเยอะมาก หากใส่ถุงดำของเทศบาลก็ไม่เพียงพอ จึงใช้ถุงดำอื่นแทน ปรากฏว่าเมื่อตนและชาวบ้านหลายคนใช้ถุงดำอื่นๆที่ไม่มีตราเทศบาลเมืองปากพูน เมื่อถึงเวลาเก็บขยะรถเก็บขยะก็ไม่เก็บถุงขยะที่ไม่มีตราของเทศบาลเมืองปากพูน ตนและชาวบ้านมองว่า เป็นเรื่องไม่ถูกต้องเลย อยากให้ทางเทศบาลเมืองปากพูน ช่วยเก็บถุงดำที่ไม่มีตราเทศบาลให้ด้วยก็จะดี เรื่องซื้อถุงดำของเทศบาลเมืองปากพูนตน และชาวบ้านพร้อมที่จะซื้อถุงดำของเทศบาลไม่มีปัญหาอะไรเลย อยากให้เทศบาลเมืองปากพูน ปรับปรุงในเรื่องนี้ และหลังตนโพสต์เรื่องนี้แล้วปรากฏว่ารถเก็บขยะเทศบาลเข้ามาเก็บถุงดำที่ไม่มีตราเทศบาลไปจนหมด ก็อยากให้ทำแบบนี้ไปตลอดนะครับก็จะเป็นเรื่องดี 

ด้านนายธนาวุฒิ ถาวรพราหมณ์ นายกเทศมนตรีเมืองปากพูน กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน ความจริงเทศบาลไม่ได้ขายถุงดำตามที่มีผู้ไปโพสต์กล่าวหาเทศบาลเมืองปากพูน แต่เป็นการแจกถุงดำให้ฟรีเท่านั้น ส่วนที่เก็บเงิน 40 บาท เป็นค่าเก็บขยะรายเดือนของเทศบาลเมืองปากพูน ซึ่งแต่ละปีเทศบาลเมืองปากพูนมีภาระเกี่ยวกับการจัดเก็บขยะในพื้นที่จำนวนมาก ปีละ8 ล้านบาท อยากให้ชาวบ้านเข้าใจนโยบายของเทศบาลด้วยที่ต้องการพัฒนาเมืองปากพูน เป็นเมืองที่สะอาด และต่อไป ทางเทศบาลจะได้เข้าไประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้เข้าใจมากกว่านี้ต่อไป