"ญี่ปุ่น" ขึ้นแท่นอันดับ 1 ประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก
21 ก.ย. 2566, 15:02
วันที่ 21 ก.ย. 66 รัฐบาลญี่ปุ่น เผยแพร่ข้อมูลประชากรผู้สูงอายุในประเทศ ซึ่งตรงกับวันเคารพผู้สูงอายุ โดยพบว่า ขณะนี้ประชากรญี่ปุ่นมากกว่า 1 ใน 10 มีอายุมากกว่า 80 ปี ด้วยอัตราการเกิดตกต่ำอย่างต่อเนื่อง และประชาชนญี่ปุ่นอายุยืน ส่งผลให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก โดย อันดับ 2 อิตาลี และ อันดับ 3 ฟินแลนด์ เพราะมีประชากรอายุมากกว่า 65 ปี แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ ร้อยละ 29.1
ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น และรายงานจาก The Japan Times พบว่าจำนวนชาวญี่ปุ่นสูงอายุที่มีอายุครบ 100 ปี แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 92,139 คน โดยเพิ่มขึ้น 1,613 คนจากปี 2565 เป็นเพศหญิง 81,589 คน (ร้อยละ 88.5 ของประชากรผู้มีอายุครบร้อยปีทั้งหมด) เพศชาย 10,550 คน (ร้อยละ 11.5) หรือเฉลี่ย 73.74 คนต่อประชากร 100,000 คนในญี่ปุ่น โดยผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากถึง ร้อยละ 88.5 ของกลุ่มคนที่อายุยืนยาวมากที่สุดในโลก ซึ่งในปี 2565 หญิงชาวญี่ปุ่นมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 87 ปี 9 เดือน ส่วนอายุเฉลี่ยของผู้ชายอยู่ที่ 81 ปี 5 เดือน
ญี่ปุ่นยังเผชิญกับอัตราการเกิดและจำนวนแรงงานที่ลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจัดหาเงินทุนสำหรับเงินบำนาญและการดูแลสุขภาพ เนื่องจากความต้องการจากประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น จำนวนประชากรของญี่ปุ่นลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟูช่วง 2523 เป็นต้นมา
เพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซา รัฐบาลญี่ปุ่นได้สนับสนุนให้ผู้สูงอายุและคุณแม่ที่อยู่ที่บ้านมากขึ้น ให้กลับเข้ามาทำงานอีกครั้ง แต่นโยบายนี้ได้ผลในระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะในปัจจุบันพบว่ามีแรงงานสูงอายุมากถึง 9,120,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอด 19 ปี ซึ่งการสนับสนุนแรงงานสูงอายุนั้นอาจเป็นผลดีต่อตัวบุคคล แต่ในระดับเศรษฐกิจมหภาค ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบทางวิกฤตประชากรและเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ สถานการณ์การเกิดต่ำ การตายต่ำ เด็กเกิดน้อย ผู้สูงอายุเยอะ ไม่ได้มีที่ญี่ปุ่นเพียงที่เดียว ในภูมิภาคเอเชียยังถือว่ามีอีกหลายประเทศที่เผชิญปัญหานี้เหมือนญี่ปุ่น เช่น จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และ ไต้หวัน โดยรัฐบาลของทุกประเทศได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมให้คนหนุ่มสาวมีลูกมากขึ้นเช่นกัน
ที่มา : japantoday.com