รฟม. จ่อชงค่าโดยสาร "รถไฟฟ้าสายสีม่วง" 20 บาท ตลอดสาย ดีเดย์ 1 ธ.ค.นี้
29 ก.ย. 2566, 08:12
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม. ว่า ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยคาดว่าจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม เป็นต้นไป ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีแผนผลักดันรถไฟฟ้า 2 สาย ที่อยู่ในการดำเนินการของหน่วยงานรัฐ ระหว่างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ เชื่อมต่อรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน
ทั้งนี้ รฟม. เตรียมนำมติบอร์ดฯ ที่เห็นชอบปรับอัตราค่าโดยสารเหลือ 14-20 บาท เสนอไปยังกระทรวงคมนาคม ในวันที่ 29 กันยายนนี้ เพื่อนำข้อมูลไปรวมกับโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบต่อไป ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จทันใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่แน่นอน ส่วนการเดินทางข้ามสายระหว่างรถไฟฟ้าสายสีม่วง กับสายสีแดง นั้น จะคิดอัตราค่าโดยสารที่ 20 บาทเช่นกัน
“จากนโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้รายได้ค่าโดยสารสายสีม่วงลดลงประมาณ 190 ล้านบาทต่อปี หรือลดลงประมาณ 60% ของรายได้ผู้โดยสารฯ ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อเริ่มใช้นโยบายดังกล่าว จำนวนผู้โดยสารสายสีม่วงจากเพิ่มขึ้นประมาณ 1 หมื่นคนต่อวัน หรือคิดเป็น 17% จากปกติมีผู้โดยสารใช้บริการอยู่ที่ 5.6 หมื่นคนต่อวัน ซึ่งผู้โดยสารจะเพิ่มเป็น 6.6 หมื่นคนต่อวัน โดยมีการเดินทางเฉลี่ยอยู่ที่ 8 สถานี จากจำนวนทั้งหมด 16 สถานี ค่าโดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ 23 บาท ส่วนการเดินทางข้ามสายระหว่างสายสีม่วงกับสายสีแดง ปัจจุบันยังมีจำนวนไม่มาก หรืออยู่ที่ประมาณ 100-200 คนต่อวัน” นายภคพงศ์ กล่าว
นายภคพงศ์ กล่าวว่า ส่วนในเรื่องของการแบ่งรายได้ จะใช้วิธีการเก็บจากสถานีต้นทาง หากผู้โดยสารขึ้นที่สถานีสายสีม่วง รฟม.ก็จะเป็นผู้รับรายได้ในส่วนนั้นไป หากผู้โดยสารขึ้นจากรถไฟฟ้าสายสีแดง รฟท.จะได้รายได้ในส่วนนั้นไปเช่นกัน โดยทั้งหมดนี้จะให้บริการผ่านระบบ EMV หรือการใช้บริการผ่านบัตรเครดิต และบัตรเดบิต เท่านั้น ไม่รับเงินสด หรือใช้ระบบเหรียญแบบในปัจจุบัน ส่วนในกรณที่จะใช้เงินชดเชยไปอีกกี่ปีนั้น รฟม.ขอพิจารณาก่อน หากผู้โดยสารเพิ่มขึ้นที่ 17% ต่อปี ก็คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 5 ปี รฟม.จึงจะคืนทุน
นอกจากนี้ รฟม.ขอประเมินผลในช่วง 1 ปีของการใช้นโยบายนี้ก่อน เพราะเชื่อว่าหากมีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจทำให้การชดเชยรายได้ใช้เวลาน้อยลง และแน่นอนว่านโยบายนี้ส่งผลบวกต่อผลตอบแทนด้านเศรษฐศาสตร์ ทำให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ เมื่อมีผู้โดยสารมาใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้น จะลดค่าเดินทางด้วยรถยนต์ ประเมินมูลค่าการเงินทางด้านเศรษฐศาสตร์ และเวลาในการเดินทาง ค่าความสุข และการลดความสูญเสียทางถนน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมกัน 5 ปัจจัยนี้ รวมมูลค่าประมาณ 900 ล้านบาท ถือเป็นผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมที่คุ้มค่า
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา รฟม.จะนำรายได้ส่งกระทรวงการคลัง อยู่ที่ประมาณ 20-25% ต่อปี ของกำไรสุทธิ ดังนี้ ปี 2563 มีรายได้นำส่งคลังอยู่ที่ 300 ล้านบาท ปี 2564 มีรายได้นำส่งคลังอยู่ที่ 467 ล้านบาท ปี 2565 มีรายได้นำส่งคลังอยู่ที่ 311 ล้านบาท ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีรายได้นำส่งคลังอยู่ที่ 223 ล้านบาท
ส่วนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่จะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยเบื้องต้น รฟม. ได้มีการหารือร่วมกับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีเอ็ม ซึ่งทางเอกชนอยู่ระหว่างประเมินตัวเลขเกี่ยวกับการชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปจากนโยบายดังกล่าว นอกจากนี้ ได้รับทราบจากกระทรวงคนาคม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างตั้งคณะกรรมการเพื่อเจรจาร่วมกับภาคเอกชน